‘ตลท.’ ระงับการโอนเงินธุรกรรมซื้อขายหุ้น MORE น่าสงสัย พร้อมเดินหน้ารวบรวมหลักฐานส่ง ‘พนักงานสอบสวน’ ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง ให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องเปลี่ยนจาก ‘จำเลย’ เป็น ‘พยาน’ ขณะที่ 'ผบช.ก.' เผยมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 4 พันล้าน
.......................................
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE เมื่อวันที่ 10-11 พ.ย.2565 ที่มีความผิดปกติ ว่า จากการตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 10 พ.ย.2565 พบว่ามีความผิดปกติใน 2 ส่วน คือ มีสภาพการซื้อขายผิดปกติ และมีลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ
โดยในส่วนสภาพการซื้อขายผิดปกติ นั้น พบว่าราคาหลักทรัพย์ MORE ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท เทียบกับค่าเฉลี่ย 30 วันก่อนหน้านี้ ที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดตลาด มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ เกือบ 4,300 ล้านบาท
ส่วนลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ในส่วนฝั่งซื้อ เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 ราย โดยผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท/หุ้น และในส่วนฝั่งขาย พบว่า มีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายรายที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย
ทั้งนี้ ทันทีเมื่อเปิดตลาด ได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้น ภายในไม่ถึง 20 นาทีหลังจากเปิดตลาด ราคาได้ทยอยปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท/หุ้น และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว ฝ่ายกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งเตือนบริษัทสมาชิกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
นายภากร กล่าวต่อว่า ความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 10 พ.ย.2565 ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 11 พ.ย.2565 ด้วย โดยหลังเปิดการซื้อขาย ราคาหลักทรัพย์ MORE เปิดตลาดที่ราคา Floor ในทันทีที่ราคา 1.37 บาท/หุ้น จากระดับราคา 1.90 บาท/หุ้น ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยมูลค่าการซื้อขายทั้งวัดลดเหลือเพียง 134 ล้านบาท จากกว่า 7,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ตลท.ได้มีการดำเนินการร่วมกันของบริษัทสมาชิก และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2565 เป็นต้นมา โดยมีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย.2565 ทั้งหมด เพื่อที่จะร่วมกันทำการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัย และจากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแล ได้พบธุรกรรมที่ต้องสงสัย
นายภากร กล่าวว่า สำหรับธุรกรรมที่ได้ตรวจสอบแล้ว หากไม่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปแล้ว ส่วนธุรกรรมที่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็จำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบลูกค้าอย่างเข้มข้น และได้มีการระงับการทำธุรกรรมในบัญชีดังกล่าวของลูกค้าระหว่างที่ทำการตรวจสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“เงินที่ยัง Hold ไว้มีอยู่หลักสิบบัญชี แต่เงินที่มีการจ่ายไปแล้ว มีหลายพันบัญชี จึงเหลืออยู่แค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่ยังเป็นที่น่าสงสัย และถูก Hold ไว้อยู่” นายภากร กล่าว อย่างไรก็ดี นายภากร ไม่ได้เปิดเผยว่าจำนวนเงินและหลักทรัพย์ MORE ที่ถูกระงับการโอน และอยู่ระหว่างการตรวจสอบมีวงเงินทั้งสิ้นเท่าใด
นายภากร ระบุว่า ตลท.ได้มีการประสานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เข้ามาทำการสอบสวน และมีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยในวันนี้ (16 พ.ย.) บริษัทสมาชิกหลายแห่งได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว ทั้งนี้ หากใครที่มีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่ผิดปกติ สามารถมาติดต่อให้ข้อมูลผ่าน SET Contact Center ได้
“เราได้ข้อมูลมาเกิน 50% แล้ว และเราหลักฐานชัดเจนว่า มีการกระทำที่ไม่ปกติ และเรามั่นใจว่าภายในวันศุกร์นี้ (18 พ.ย.) เราจะสามารถดำเนินการเรื่องพวกนี้ต่อได้ อย่างไรก็ดี ทางเราและหน่วยงานกำกับ อยากให้โอกาสว่า ใครก็ตามที่มีข้อมูลหรือเกี่ยวข้อง แล้วอยากเปลี่ยนจากจำเลยมาเป็นพยาน ให้ติดต่อให้ข้อมูลได้ผ่าน SET Contact Center ที่ 0 2009 9999 โดยเราจะเอาข้อมูลดังกล่าวเสนอต่อพนักงานสอบสวน ร่วมกับข้อมูลที่เราได้ในตอนนี้” นายภากร ย้ำ
นายภากร ยืนยันว่า ที่ผ่านมานายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ หรือ เฮียม๊อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ MORE และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ MORE ไม่ได้ติดต่อหรือเข้ามาหารือกับ ตลท. แต่อย่างใด ในขณะที่สารสนเทศของ MORE ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า นายอมฤทธิ์ ไม่ได้ขายหลักทรัพย์ MORE ออกมา รวมถึงมีการแจ้งข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันปิดทะเบียนผู้ถือหุ้น MORE วันที่ 30 ก.ย.65 นั้น จะเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการตรวจสอบเรื่องนี้
“จริงๆแล้ว ถ้าจะดูว่าปิดสมุดเมื่อไหร่นั้น ปิดเมื่อไหร่ก็ได้ เอาข้อมูลวันไหนก็ได้ มันมีข้อมูลทุกวัน แต่ทำไมจึงไม่ใช่ข้อมูลที่ทันเวลา และอันนี้เป็นจุดที่เราเอาไปใช้ต่อได้” นายภากร ตอบคำถามสื่อ หลังถูกถามกรณีที่ MORE แจ้งตลาดทรัพย์ฯว่า นายอมฤทธิ์ ไม่ได้มีการขายหลักทรัพย์ MORE ออกมาในวันที่ 10 และ 11 พ.ย.2565 แต่กลับแสดงรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ MORE ณ วันปิดสมุดรายชื่อผู้ถือหุ้น วันที่ 30 ก.ย.2565
นายภากร กล่าวด้วยว่า การตรวจสอบกรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในครั้งนี้ ตลท.ไม่ได้ตรวจสอบเฉพาะการซื้อขายในวันที่ 10-11 พ.ย.2565 เท่านั้น แต่จะมีการตรวจสอบย้อนหลังกลับไปอีก เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมด จึงต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลบ้าง แต่มั่นใจว่าในวันที่ 18 พ.ย.นี้ จะได้ข้อมูลทั้งหมด และส่งให้พนักงานสอบสวนได้ และขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะปลดเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขาย) หลักทรัพย์ MORE ได้เมื่อไหร่
“ข้อมูลที่เก็บตอนนี้เก็บมาจาก 39 โบรกเกอร์ และที่ต้องรวบรวมหลายวันนั้น ขอไม่บอกรายละเอียด แต่อยากจะบอกว่าเราไม่ได้ขอข้อมูลแค่ 2 วัน แต่เป็นข้อมูลที่เราจะดูเป็น pattern (แบบแผน) จากในอดีตเลย เพื่อสร้างเป็นสตอรี่ให้เห็นความสัมพันธ์ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าย้อนกลับไปเท่านี้ จะเห็น pattern ต่างๆอะไรบ้าง” นายภากร กล่าว
นายภากร กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า ตลท. หน่วยงานกำกับดูแล และผู้เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย จะหารือร่วมกันในการวางแผนป้องกันและอุดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับกรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE เกิดขึ้นอีก ซึ่งแนวทางที่จะมีการการหารือกัน เช่น การรวบรวมข้อมูลต่างๆให้ทันเวลามากขึ้น ,การให้วงเงินเครดิตลูกค้าของโบรกเกอร์ที่ต้องมีศูนย์รวมข้อมูล หรือการนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันฯเงินกู้จะทำได้เท่าไหร่และอย่างไร เป็นต้น
ด้าน นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า กรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่มีความผิดปกตินั้น หากธุรกรรมใดเป็นธุรกรรมที่มีพฤติกรรมผิดปกติและต้องสงสัย จะต้องมีการตรวจสอบ พร้อมทั้งอาศัยอำนาจตามประกาศ ปปง. ให้หยุดการทำธุรกรรมไปก่อน เช่น การโอนเงินหรือทรัพย์สินของผู้ซื้อและผู้ขายที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ส่วนผู้ซื้อและผู้ขายที่ไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ทางโบรกเกอร์ก็จะปล่อยผ่านทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขาย
“คนที่เข้าไปซื้อนิดๆหน่อยๆ เขาก็ได้หุ้นไปปกติ ส่วนคนที่ขาย และไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เราก็ปล่อยเงินค่าขายตามปกติเหมือนกัน กรณีนี้จึงไม่ได้มีผลกระทบในวงกว้าง ขณะที่พฤติกรรมที่มีความน่าสงสัย อันนี้เป็นตามกฎหมายที่เราต้องทำ” นายพิเชษฐ กล่าว
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจบริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว จำนวน 11 บริษัท เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบเอาผิดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นในลักษณะผิดหลักการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายจนทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้มอบหมายให้ บก.ปอศ. รับผิดชอบตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหลังจากนี้จะให้ทางพนักงานสอบสวน ทำการแยกสอบปากคำผู้เสียหายแต่ละราย ก่อนนำไปประมวลเรื่องราวร่วมกับพยานหลักฐานต่างๆ ประกอบการพิจารณาข้อเท็จจริง อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร เนื่องจากเอกสารข้อมูลต่างๆมีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ว่า บริษัทโบรกเกอร์ 11 บริษัท ที่ได้รับความเสียหาย ได้ส่งตัวแทนมาเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อร้องขอให้ช่วยตรวจสอบการซื้อขายหุ้น MORE และ แจ้งความเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในข้อหาฉ้อโกง เบื้องต้นได้ให้ตำรวจ บก.ปอศ. รับเรื่องไปดำเนินการแล้ว ขณะที่ในส่วนมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 4 พันกว่าล้านบาท ซึ่งแต่ละบริษัทจะแบ่งเป็นความเสียหายตั้งแต่หลักร้อยล้านบาทไปจนถึงพันล้านบาท
"การที่บริษัทโบรกเกอร์ผู้เสียหายเข้าแจ้งความในครั้งนี้ เพราะเชื่อว่า การซื้อขายดังกล่าวมีความผิดปกติ เป็นการฉ้อโกง และ สงสัยว่าตัวผู้ซื้อ 1 ราย กับ ผู้ขาย 20 ราย นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน หรือเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกัน ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรนั้นคงต้องมีการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ แต่จะมีการแจ้งความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด" พล.ต.ท.จิรภพ กล่าว
(พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) (ที่สองจากซ้าย) แถลงกรณีการซื้อขายหุ้น MORE ผิดปกติ 16 พ.ย.2565)
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวทางการทำคดีนั้น ได้สั่งให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะทำงานสอบสวนกลาง ร่วมกันระหว่าง บก.ปอศ. หรือ กองปราบ และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดึงเอาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาช่วยกันพิสูจน์ทราบแสวงหาข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ หลังจากนี้จะมีการเชิญตัวผู้เกี่ยวข้อง พยานบุคคลต่างๆ มาให้ปากคำชี้แจงรายละเอียดจำนวนมาก โดยเฉพาะ ตัวผู้ซื้อและผู้ขายหุ้นทั้ง 20 คน รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการเงินการทำธุรกรรมต่างๆ นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบด้วยว่าเข้าข่ายเป็นการปั่นหุ่นหรือไม่ หากพบก็จะต้องดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป ส่วนปัจจุบันตัวผู้ซื้อและตัวผู้ขายหุ้นทั้ง 20 คน ยังอยู่ภายในประเทศ หรือไม่นั้น ส่วนตัวนั้นเชื่อว่ายังอยู่ในประเทศ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ตัวแทนจาก ตลท. เข้าร้องเรียน พล.ต.ท.จิรภพ กรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่ผิดปกติ จากนั้น พล.ต.ท.จิรภพ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งชุดพนักงานสอบสวนขึ้นมาดำเนินการทันที
อ่านประกอบ :
‘ตลท.’ ประสานตำรวจ ‘ปอศ.’ เร่งสืบสวนหาผู้กระทำผิด ปมซื้อขายหุ้น MORE ผิดปกติ
‘ตลท.’ เดินหน้าตรวจสอบกรณีซื้อขายหุ้น MORE ผิดปกติ-ยันไม่กระทบเสถียรภาพตลาด