‘รองผู้ว่าจักกพันธุ์-ทวิดา’ ตั้งโต๊ะแถลงปมโยกงบแก้น้ำท่วมไปโปะงบสัมมนา ยืนยันไม่มีการตัดงบส่วนนี้ แต่มีการขอแปรญัตติเพื่อศึกษาดูงานจริง ปธ.สภากทม.แจง ส.ก.ไม่ได้โหวตแปรญัตติ โยกงบน้ำท่วมในเขตจตุจักรไปจัดสัมมนา ชี้ฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอำนาจเพิ่มงบ ส.ก.ปรับลดได้อย่างเดียว ด้าน ‘อรรถวิชช์’ เตรียมยื่นสตง.สอบปมโยกงบ พรุ่งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 12 กันยายน 2565 จากกรณีที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ (11 ก.ย.65) ว่า แปรญัตติงบประมาณโยกงบประมาณโครงการที่ผิดเพี้ยนจากร่างข้อบัญญัติงบประมาณปี 2566 โดยเฉพาะงบประมาณในเขตจตุจักรที่ถูกโยกไปเป็นโครงการพาคนไปเที่ยวสัมมนาสูงถึง 9,783,300 บาทนั้น
ล่าสุด นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงถึงกรณีงบประมาณกทม. ว่า การพิจารณางบทุกปี หลังจากที่ได้มีการผ่านวาระแรกแล้ว จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา ซึ่งจะประกอบไปด้วยสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และข้าราชการในส่วนของฝ่ายบริหาร
โดยในคราวนี้การพิจารณางบประมาณ ก็ไม่แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ได้มีการพิจารณางบประมาณแล้วคณะกรรมการก็ได้มีการเข้าไปพิจารณาว่าโครงการ หรือรายการไหนที่จะสามารถผ่านไปดำเนินการในปีต่อไปได้ และยืนยันว่าคณะกรรมการวิสามัญไม่มีการตัดงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องการระบายน้ำ แต่ในขณะเดียวกันคณะกรรมการวิสามัญชุดนี้ได้มีการพิจารณาว่า หากในกรณีโครงการหรือรายการไหนซึ่งอาจจะมีการเบิกจ่ายล่าช้าหรือการทำงานที่ไม่ไปเป็นตามสัญญา ก็อาจจะมีการลดจำนวนงบประมาณลง แต่ยืนยันไม่มีการตัด
ยันไม่ตัดงบแก้น้ำท่วม 20 ล้าน
นายจักกพันธุ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในส่วนของเขตจตุจักร ก็เช่นกัน โดยเฉพาะของเขตจตุจักรใช้งบประมาณไปประมาณ 536 ล้านบาท ในรอบแรกคณะกรรมการวิสามัญตัดไปแค่ 60,000 บาท ซึ่งเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างพื้นที่สีเขียว แต่หลังจากนั้นเขตจตุจักร คณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว ผู้อำนวยการเขต ได้มีการแปรงบประมาณมากพอสมควรประมาณเกือบ 20 ล้านบาทในจำนวนนี้มีเกี่ยวกับเรื่องการขอเงินไปทำการลอกท่อระบายน้ำเพิ่มเติม 3 ล้าน และทำฝาท่อระบายน้ำเพิ่ม 2 ล้าน ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญให้ผ่านหมด แต่ในขณะเดียวกันงบประมาณโดยรวมของสำนักงานเขตจตุจักร เฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง รวมแล้วเกือบประมาณ 20 ล้านบาทคณะกรรมการวิสามัญ ไม่ตัดเลย
รับมีของบจัดสัมมนา 3 โครงการ อ้างชุมชนประสงค์
นายจักกพันธุ์ กล่าวต่อว่า แต่ในส่วนของงบแปร สำนักงานเขตจตุจักรได้ขอโครงการเกี่ยวกับของอบรมดูงานสัมมนามา 5 โครงการ 1. เป็นโครงการสัมมนาของข้าราชการพนักงานเขตจตุจักร 2.เป็นการศึกษาดูงานของกลุ่มงานพนักงานเขตจตุจักร และอีก 3 โครงการเป็นโครงการที่เกี่ยวกับชุมชนไปศึกษาดูงาน ซึ่งสำนักงานเขตต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนรวม ทั้งนี้ การขอจัดตั้งงบประมาณและมีการแปรญัตติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันยอมรับว่าหากกรณีสำนักงานเขตพิจารณาแล้ว อาจจะมีการขอยกเลิกโครงการก็สามารถดำเนินการได้ตามปกติ นอกจากนี้เขตอื่นๆมีลักษณะโครงการคล้ายกันแต่จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจำนวนของราชการ บุคลากรแต่ละเขต
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่ และมีการตั้งข้อสังเกตอะไรหรือไม่ นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า ปกติที่ผ่านมาก่อนหน้านี้โครงการลักษณะเช่นนี้มีมาทุกปี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อปี 2561-2562 มีปัญหาเรื่องโควิด-19 โครงการพวกนี้จึงหายไปและเรื่องดังกล่าวเป็นความประสงค์ของชุมชนที่ต้องการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนและสำนักงานเขตในพื้นที่ ที่อาจจะเป็นการเสริมสร้างการทำงาน
พาหัวคะแนนไปเที่ยวไม่ได้
เมื่อถามว่า ระดับบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ มีข่าวว่าเป็นหัวคะแนนไป นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า จำนวนคนขึ้นอยู่กับจำนวนงบประมาณที่สำนักงานเขตเป็นผู้ตั้ง และคนที่ไปขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของสำนักงานเขต และการขอจัดสรรงบประมาณในแต่ละครั้งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ส.ก.ไม่มีอำนาจโดยที่ฝ่ายบริหารไม่จัดสรรลงไป และขอยืนยันว่าการที่สำนักงานเขตจะนำหัวคะแนนไปเที่ยว ทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นโครงการต่างๆไม่ได้นำคนไปเที่ยว แต่เป็นโครงการเพื่อพาบุคลากรไปศึกษาดูงาน และย้ำว่าโครงการไปเที่ยวไม่มีเด็ดขาด
ทวิดา ยันอีก มีขอดูงานจริง
ถามว่า มีการตั้งข้อสังเกต เรื่องงบประมาณว่า กทม. มีการตัดงบแก้ปัญหาน้ำท่วมจากสำนักงานเขต ไปใช้จ่ายอย่างอื่น จะชี้แจงอย่างไร น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า มีโครงการศึกษาดูงานจริง ซึ่งระบบราชการมักถูกมองว่าพาไปเที่ยว ขออนุญาตพูดว่าบางทีเราสามารถไปเรียนการบริหารจัดการ การพัฒนา จากพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดอื่นๆ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ได้ ไม่ใช่หมายความว่าการออกนอกสถานที่จะไม่สามารถทำให้เกิดบทเรียน และการฝึกฝนได้
ประเด็นที่ 2 การออกไปอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้มีเวลา และสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราต้องการให้เกิดจากโครงการในแต่ละครั้งได้ดั้งนั้น การกำกับรายละเอียดโครงการ ใครเป็นคนไป ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะพบเห็นภาคประชาชนที่ค่อนข้างแอ๊กทีฟ ไปร่วมโครงการนี้ด้วย เป็นได้อยู่แล้ว เพราะโดยเนื้อหาของโครงการ ต้องการให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ดังนั้น ตามนโยบายของผู้ว่าฯกทม.เอง กำลังพยายามให้เราใช้ การจัดสรรงบประมาณแบบมีส่วนร่วม
“แต่ปกติเวลาเราพูดถึงการจัดสรรงบ จะมีความเป็นเทคนิค ความละเอียดค่อนข้างเยอะ การที่ภาคประชาชนได้ทำความเข้าใจว่า โครงการแบบไหน ความต้องการแบบไหนของชุมชน กลไกแบบไหนของประธานชุมชนและผู้แทนชุมชน ในลักษณะต่างๆ จะสามารถจัดทำโครงการขึ้นมาได้ อาทิ โครงการสุขภาพในระดับเขต การไปแบบนี้จะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเจอกัน เขตก็จะได้ทราบว่า ทำไมภาคประชาชนถึงติดขัด ไม่สามารถเขียน หรือจัดทำโครงการขึ้นมาได้ มันยากอะไรที่ตรงไหน ประชาชนเองจะได้รับความช่วยเหลือจากทางเขต แนะนำโครงการแบบนี้ งบประมาณแบบนั้นหมวดการเบิกจ่ายแบบนี้ ทำให้ความเข้าใจเกิดขึ้นได้มากขึ้น” น.ส. ทวิดา กล่าว
อ้างต้องพัฒนาบุคลากรเขต เพราะระบบงานเปลี่ยน
น.ส.ทวิดา กล่าวต่อว่า อีกประเด็น คือเนื้อหาในการพัฒนา ถามว่าทำไมต้องการพัฒนาบุคลากรเขตด้วย พวกเราเข้ามา 3 เดือน เราเปลี่ยนการทำงานไปเยอะมาก โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี และรวมถึงการทำงานในรูปแบบที่เอาเป้าไว้พุ่งชน ซึ่งวิธีการทำงานแบบนี้ จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องทำให้เขตบางเขตนำร่องขึ้นมา เขตที่มีปัญหายากๆ ได้มีโอกาสเข้าใจวิธีการแบบนี้ ซึ่งบางครั้งเราก็ต้องการโครงการแบบนี้ในการไปให้ความรู้ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อโครงการจะถูกอนุมัติ ซึ่งจะอนุมัติโดยพวกเรา เป็นผู้ที่ดูรายละเอียดของโครงการว่า ถ้าไป 2-3 วัน ไม่เห็นเนื้อหาอะไรเลยในการพัฒนาศักยภาพ ก็ไม่ต้องไป และนายชัชชาติ ได้กำชับเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
ถามย้ำว่า ยืนยันว่าไม่มีการตัดงบเรื่องการระบายน้ำ น.ส.ทวิดา กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการตัดงบ นายจักกพันธุ์ นั่งดูรายรายการเลยว่าไม่มีการไปลดส่วนนั้น จริงๆ แล้วเราไปทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะถ้าเราทำแบบนั้น มันไม่ควรผ่านออกมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นปัญหาหลักใหญ่มากของพื้นที่
สภากทม.ปัดปรับลด-โยกงบ
ด้านนายยวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ส.ก.เขตมีนบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานสภากรุงเทพมหานคร (สภากทม.) เปิดเผย ‘สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)’ ว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้มาจากการกระทำในการแปรญัตติโดยสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) แน่นอน เพราะตามระเบียบกฎหมายแล้ว ส.ก.มีอำนาจเพียงการตัดงบเท่านั้น แปรญัตติเพิ่มไม่ได้ อำนาจการแปรญัตติเพื่อเพิ่มงบประมาณเป็นของฝ่ายบริหาร
“ยืนยันว่าฝ่ายสภาไม่มีการแปรญัตติ เพื่อขอเพิ่มงบประมาณในส่วนดังกล่าวแน่นอน คาดว่าเป็นทางฝ่ายบริหารที่แปรญัตติเพิ่มงบดังกล่าวเข้ามา การเพิ่มงบประมาณดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิด หากมีความจำเป็นก็สามารถเพิ่มเติมได้แน่นอน” นายวิรัตน์กล่าว
‘อรรถวิชช์’ แจงไม่ได้ดิสเครดิต ‘ชัชชาติ’
ขณะที่นายอรรถวิชช์ กล่าวกับ ‘สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)’ ว่า การที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตนไม่ได้ต้องการดิสเครดิตคณะผู้บริหารกทม.ชุดปัจจุบัน หรือแม้แต่ตัวของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ไม่ได้ต้องการที่จะดิสเครดิตเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ นายชัชชาติระบุว่า มีงบในการบริหารจัดการน้อย จึงต้องการช่วยตรวจสอบ เพื่อดึงเอาเงินที่ไม่จำเป็นเข้างบกลาง นายชัชชาติจะได้บริหารจัดการในการแก้ปัญหาต่างๆได้คล่องตัวขึ้น
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ย.65) จะเดินทางไปที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อตรวจสอบการแปรญัตติงบประมาณในส่วนนี้ต่อไป
อ่านประกอบ
'กล้า'เตรียมยื่น สตง.สอบ กทม.พบ'จตุจักร'ถูกตัดงบโยธาฯระบายน้ำ โยก 10 ล.ใส่โครงการสัมมนา