ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุก 'ปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์' อดีตรองผู้ว่าฯ ภูเก็ต 1 ปี 4 เดือน ทุจริตออกโฉนดที่ดินฮุบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยใช้หลักฐาน นส.3 ก. มิชอบ ให้นับโทษต่อคดีเก่าด้วยรวม 2 คดี 2 ปี 8 เดือน -พวก 4 ราย โดนด้วยคนละ 4 ปี -เผยยังมีคดีค้างในป.ป.ช. อีก 7 เรื่อง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 มีคำพิพากษาที่ตัดสินลงโทษ นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง อดีตปลัดอำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต จำเลยที่ 1 , นายสามารถ สร้อยทอง นักวิชการเกษตรชำนาญการพิเศษ จำเลยที่ 2 , นายจรูณ ลิ่มสกุล เจ้าพนักงานที่ดิน อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต จำเลยที่ 3 ,นายสุธา ศรียาภัย นายช่างรังวัดชำนาญการ ฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัด ภูเก็ต จำเลยที่ 4 และ นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต จำเลยที่ 5 ในคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยใช้หลักฐาน นส.3 ก. มิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนตั้งแต่เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา
โดยศาลฯ พิเคราะห์พยานเอกสารหลักฐานมีคำพิพากษาว่า นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง จำเลยที่ 1 นายสามารถ สร้อยทอง จำเลยที่ 2 นายจรูณ ลิ่มสกุล จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 , 162 (1) (4) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
นายสุธา ศรียาภัย จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157, 162 (1) (4)
นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86
การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ จำคุก นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง นายสามารถ สร้อยทอง นายจรูณ ลิ่มสกุล และ นายสุธา ศรียาภัย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี
ส่วน นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ จำเลยที่ 5 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน
สำหรับพฤติการณ์การกระทำความผิดในคดีนี้ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 ภาค 6 ในฐานะโจทก์ ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 – 4 มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537)ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 1161/2552 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม2552 มีหน้าที่ทำการตรวจพิสูจน์แล้วเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าสมควรออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ จำเลยที่ 4 มีหน้าที่รับผิดชอบงานรังวัดออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
เมื่อระหว่างเดือนสิงหาคม 2553 วันใดไม่ปรากฏชัด เวลากลางวันถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2554 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารการออกโฉนดที่ดินร่วมกับจำเลยที่ 5 ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ปฏิบัติหน้าที่ทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน ที่จำเลยที่ 5 นำที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 105 หมู่ที่ 1 ตำบลป่าตองอำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 2 ไร่ มายื่นคำขอออกโฉนดที่ดินตามคำขอฉบับที่ 3027/2553 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2553
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2553 จำเลยที่ 4 ทำการรังวัดมีจำเลยที่ 5 นำชี้รวมเอาที่ดินนอก ส.ค.1 เลขที่ 105 อันเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เทือกเขากมลา ตำบลป่าตอง ได้เนื้อที่ 16-3-09.8 ไร่
จำเลยที่ 4 โดยเจตนาทุจริต จัดทำรายงานรังวัดว่าสภาพที่ดินและการทำประโยชน์เป็นควนเขาทำประโยชน์ปลูกสวนยางพารา และสวนผลไม้เต็มทั้งแปลง
ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2554 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ที่ดิน จัดทำบันทึกรายการตรวจพิสูจน์เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตว่า สภาพที่ดินเป็นที่ลาดควนเขา มีการปลูกผลไม้พื้นเมือง เช่น สะตอ ยางพารา มีบ้านพักคนงาน 1 หลัง พร้อมจักรรีดยาง ที่ดินตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขากมลา คาบเกี่ยวป่าไม้ถาวรไม่ขัดข้องที่จะออกโฉนดที่ดิน อันเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสภาพที่ดิน ซึ่งสภาพพื้นที่จริงเป็นป่าธรรมชาติ ป่าดิบขึ้นรกทึบ ไม่มีการทำประโยชน์เต็มพื้นที่ทั้งแปลงพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีการครอบครองและทำประโยชน์ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขากมลาไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมาย
การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ เพื่อเอื้อให้มีการออกโฉนดที่ดิน เป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน และประชาชน
โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้สนับสนุนเหตุเกิดที่ตำบลป้ตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162, 83, 86
ขณะที่จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ภาพจาก https://mgronline.com/south/detail/9540000076067
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ในการตัดสินคดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ได้พิพากษาให้นับโทษจำเลยทั้งห้าต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อท 53/2563 หมายเลขแดงที่ อท 45/2564 ของศาลฯ นี้ด้วย
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา สืบค้นพบว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ได้มีคำพิพากษาลงโทษ นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง , นายสามารถ สร้อยทอง นายจรูณ ลิ่มสกุล นายสุธา ศรียาภัย และ นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ ในคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยมิชอบ ไปแล้ว 1 คดี มีพฤติการณ์เดียวกัน คือ นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ นำที่ดิน ตาม ส.ค.1 เลขที่ 12 หมู่ที่ 1 ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 10 ไร่ ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน และเป็นผู้นำชี้ ก่อนจะมีการรังวัดที่ดินออกเป็น 2 แปลง โดยเจตนาทุจริตรังวัดรวมเอาที่ดินของนายสมชาย พิศดู ซึ่งมีการปลูกยางพาราและบ้านเลขที่ 50 ไปด้วย ก่อนที่จะมีการทำบันทึกรายงานเสนอผู้ว่าฯ อันเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงเนื่องจากสภาพพื้นที่จริงเป็นป่าดิบชื้นรกทึบ ป่าต้นน้ำ พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีการครอบครองทำประโยชน์ และพื้นที่บางส่วนเป็นป่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขากมลา ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ อันเป็นการมิชอบด้วยกฏหมาย
โดยศาลฯ มีคำพิพากษาลงโทษ จำคุกจำเลยในคดีนี้ คือ นายสุธา ศรียาภัย จำเลยที่ 1 นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง จำเลยที่ 2 นายสามารถ สร้อยทอง จำเลยที่ 3 นายจรูณ ลิ่มสกุล จำเลยที่ 4 คนละ 2 ปี
จำคุก นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ จำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน
หากนับรวมโทษ 2 คดี เท่ากับว่า นายพัฒนพงศ์ เหนือคลอง , นายสามารถ สร้อยทอง นายจรูณ ลิ่มสกุล นายสุธา ศรียาภัย โดนลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี (2 ปี , 2 ปี)
ส่วน นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ โดนลงโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน (1 ปี 4เดือน , 1 ปี 4 เดือน)
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันทั้งสองคดี ยังไม่สิ้นสุด จำเลยทั้งหมด มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
ขณะที่แหล่งข่าวจาก สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า นอกจาก 2 คดีนี้แล้ว นายปภิณวิช หรือ นิวิทย์ อรุณรัตน์ และพวก ยังมีคดีค้างที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. เหลืออีก 7 คดี