ศาลอาญาทุจริตพิพากษา ‘วิชัย กฤษดาธานนท์พร้อมพวกรวม 6 ราย’ ฐานรับเงินที่กู้จากธ.กรุงไทยไม่ชอบอ่วม สั่งจำคุกมากสุด 860 ปี ก่อนยึดประมวลกฎหมายอาญาเหลือคนละ 20 ปี ก่อนสั่งชดใช้เงินรวม 8,868 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 สิงหาคม 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดอ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อท. 214/2561 และ อท. 289/2561 คดีอาญาหมายเลขแดงที่อท 102/2565 ระหว่าง พนักงานอัยการ สานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สานักงานอัยการสูงสุด ในฐานะโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลย 6 ราย มีรายชื่อดังนี้
จำเลยที่ 1 นายวิชัย กฤษดาธานนท์อายุ 83 ปี อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร จำเลยที่ 2 นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 56 ปี บุตรชายของ นายวิชัย อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โบนัส บอร์น จำกัด จำเลยที่ 3 นายบัญชา ยินดี อายุ 63 ปี อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด และ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี่ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 4 น.ส.เพชรรัตน์ เทพสัมฤทธิ์พร อายุ 51 ปี อดีตเลขานุการของนายรัชฎา จำเลยที่ 5 นายปภพ สโรมา อายุ 69 ปี ผู้มีชื่อเป็นกรรมการใน 3 บริษัท ประกอบด้วย บจก.อาร์เคฯ, บจก.โกลเด้นฯ, บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และจำเลยที่ 6 นายธีรโชติ พรมคุณ อายุ 58 ปี พนักงานของ บมจ.กฤษดามหานคร ที่ 6 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2547 มาตรา 4, 5, 9, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91
โจทก์ระบุถึงพฤติการณ์ของจำเลยทั้ง 6 รายว่า ในช่วงวันที่ 11 กันยายน 2546 - ธันวาคม 2547 จำเลยทั้งหกกับพวกอีกหลายคนได้บังอาจสมคบกันฟอกเงินโดยนำเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบของธนาคารกรุงไทย จากัด วงเงิน 10,400,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาท) ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อปี 2558
เปิดพฤติการณ์ 6 จำเลยเอี่ยวฟอกเงินกรุงไทย
โดยจำเลยที่ 1-3 กับผู้มีชื่อกับพวก ได้นำบริษัทนิติบุคคลซึ่งจำเลยที่ 1-3 กับผู้มีชื่อมีอำนาจกระทำการแทนมาใช้ในการรับโอนเงินทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการยักยอก, ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ, ความผิดต่อพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด ที่มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีชื่อและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการใน, บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จากัด โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีชื่อและเป็นกรรมการผู้มีอานาจดำเนินการ
ส่วนบริษัท โบนัส บอร์น จากัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการ ส่วนจำเลยที่ 4 มีฐานะเป็นเลขานุการของจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคารพาณิชย์และบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอื่นเพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวก นำไปใช้ในการทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 มาชาระค่าหุ้น ส่วนจำเลยที่ 5เป็นลูกจ้างทำงานบ้านของผู้มีชื่อซึ่งเป็นพวกพ้องของจำเลยที่ 1-3
โดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คออกจากบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาศรีย่าน เลขที่บัญชี 1103094395 ชื่อบัญชี บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด โดยบริษัทดังกล่าวรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิด จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวออกจากบัญชีบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด แล้วนำฝากเข้าบัญชีของบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และนำฝากเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)
ส่วนจำเลยที่ 6 มีฐานะเป็นพนักงานขับรถประจำตัวของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารพาณิชย์เพื่อให้จำเลยที่ 1 โอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ของจำเลยที่ 6 และทำหน้าที่นำเช็คธนาคารพาณิชย์ที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายไปทำการเบิกถอนเป็นเงินสดตามคำสั่งของจำเลยที่ 1
นอกจากนี้ จำเลยทั้งหกกับพวกได้ใช้บริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และบริษัทแกรนด์ แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด มาทำการโอน รับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปยังพวกของจำเลย และบุคคลผู้มีชื่อ
ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยทั้งหก กับพวกดังกล่าวเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อนขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้ม แหล่งที่ตั้งการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว อันเป็นการสมคบกันฟอกเงิน
คุกร้อยปี ปรับ 8,000 ล้าน
ศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 มาตรา 5, 9 มาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แบ่งได้ ดังนี้
จำเลยที่ 1 กระทำความผิด 133 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 860 ปี
จำเลยที่ 2 กระทำความผิด 28 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 118 ปี
จำเลยที่ 3 กระทาความผิด 52 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 416 ปี
จำเลยที่ 4 กระทำความผิด 5 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 38 ปี
จำเลยที่ 5 กระทำความผิด 25 กรรม รวมจาคุกทั้งสิ้น 235 ปี
จำเลยที่ 6 กระทำความผิด 39 กรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 262 ปี
ทั้งนี้ ความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 มาตรา 60 ต้องระวางโทษจาคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจาคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6
คนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และนับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ต่อกับโทษของจำเลยที่ 25 ที่ 26 และที่ 24 ในคดีหมายเลขดาที่ อม.3/2555
และคดีหมายเลขแดงที่ อม.55/2558 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมือง
และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดชอบชาระเงินแทนการริบทรัพย์สินเป็นเงิน 8,868,732,100 บาท
โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในวงเงินดังกล่าวเป็นเงิน 372,915,500 บาท จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในวงเงิน 5,805,488.25 บาท จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในวงเงิน 2,713,195,805 บาท และจำเลยที่ 6
ร่วมรับผิดในวงเงิน 548,987,420 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดในวงเงินดังกล่าวอีกเป็นเงิน 369,185,200 บาท จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันรับผิดในวงเงินดังกล่าวอีกเป็นเงิน 973,528,030.27 บาท และจำเลยที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดในวงเงินดังกล่าวอีกเป็นเงิน 97,509,670.16 บาท
โดยให้จำเลยทั้งหกชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พิพากษา หากไม่ชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าว ต้องรับผิดชาระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ และให้บังคับคดีเอากับทรัพย์สินของจำเลยทั้งหกได้ไม่เกินจำนวนเงินที่แต่ละคนยังค้างชาระ แต่ความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่พระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
อ่านประกอบ
EXCLUSIVE:เส้นทางเช็ค26ล.คดีฟอกเงินกู้กรุงไทย ก่อน อัยการ-DSI สั่งไม่ฟ้อง ‘โอ๊ค-แม่เลขาฯพจมาน’
จบแล้ว! DSI เห็นตาม อสส.ไม่สั่งฟ้อง'เลขาฯพจมาน-สามี' คดีฟอกเงินกู้กรุงไทย-หลังหลบหนี4ป