สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดเสวนา เผยผลการศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนโควิดสูตรไขว้ พบฉีด 4 เข็มป้องกันติดเชื้อ 71% ป่วยหนัก-ตาย 99%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2565 พญ.ปิยนิตย์ ธรรมาภรณ์พิลาศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวในงานเสวนาวิชาการ ถึงประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น เข็ม 3 และ 4 จากการใช้จริงในประเทศไทย ว่า มีการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนตั้งแต่ช่วงสายพันธุ์เดลต้า ประมาณปลายปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็มป้องกันการติดเชื้อไม่ว่าสูตรใดก็ตาม ฉีดใหม่ๆ จะป้องกันติดเชื้อเดลตาได้ 50% แต่เมื่อมากกว่า 90 วันจะลดลงเหลือ 40% แต่หาก 2 เข็มป้องกันการติดเชื้อรุนแรงช่วงแรกๆ ได้เกือบ 80% ไปจนถึง 90% และเมื่อเกิน 3 เดือนตกลงมาเหลือ 80% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ป้องกันได้ และหากฉีด 3 เข็มป้องกันการติดเชื้อได้ 90% และยังป้องกันได้เกิน 3 เดือนถึง 90% ภาพรวมคือ 3 เข็มป้องกันการติดเชื้อได้เกือบ 100%
ส่วนในการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน ช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. 2565 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 เป็นหลัก โดยที่ทราบกันว่าสายพันธุ์ย่อยนี้จะดื้อต่อวัคซีนน้อยกว่า BA.4 /BA.5 ที่พบในขณะนี้ จากการติดตามข้อมูลการป้องกันการติดเชื้อ ผลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนใช้จริงระดับประเทศ ช่วงการระบาดสายพันธุ์โอไมครอน ตั้งแต่เดือน ม.ค.- เม.ย.2565 มีการติดตาม 3 ล้านคน ซึ่งมีการแยกกลุ่ม 608 ในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี มี 450,193 คน พบว่า
-
ผู้ที่ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ลดป่วยรุนแรงแบบใส่ท่อหายใจได้ 70% และลดการเสียชีวิต 72%
-
ผู้ที่ฉีดวัคซีน 3 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อ 6% ลดป่วยรุนแรงแบบใส่ท่อหายใจได้ 90% และลดการเสียชีวิต 91%
-
ผู้ที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อ 71% ลดป่วยรุนแรงแบบใส่ท่อหายใจได้ 99% และลดการเสียชีวิต 99%
-
ผู้ที่ฉีดวัคซีน 5 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อ 83%
"การฉีดวัคซีนเพียง 1-2 เข็ม ถือว่าไม่มีประสิทธิภาพแล้ว แต่ 3 เข็ม ถือว่ามีประสิทธิภาพ และหากกระตุ้นมากขึ้นก็จะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนป้องกันความรุนแรงของโรค การฉีดวัคซีน 2 โดส ป้องกันได้ 70% แต่เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า ป้องกันได้ถึง 80% ดังนั้น หากจะป้องกันได้มากต้องกระตุ้น 3 โดสขึ้นไป" พญ.ปิยนิตย์ กล่าว
พญ.ปิยนิตย์ กล่าวว่า สำหรับโอไมครอน BA.1/BA.2 การป้องกันการติดเชื้อรุนแรงนั้น การฉีดวัคซีน 2 โดส ชนิดไขว้ พบว่า การฉีดแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ ป้องกันได้ถึง 83% ส่วนซิโนแวค+ไฟเซอร์ ได้ 79% จะพบว่าการฉีดสูตรไขว้ มิกซ์แอนด์แมทช์นั้น ได้ผลดีเช่นกัน จึงไม่ต้องกังวลในการฉีด 3 โดส ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสูตรไขว้เช่นเดียวกัน อย่าง แอสตร้าฯ 2 เข็ม+ไฟเซอร์ ป้องกันติดเชื้อรุนแรงได้สูงถึง 85% ส่วนซิโนแวค 2 เข็ม+แอสตร้า ได้ 94% ส่วนซิโนแวค 2 เข็ม+ไฟเซอร์ได้ 100% ส่วนการป้องกันการติดเชื้อรุนแรงในคนทำงาน และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก็ไม่แตกต่างกัน หากฉีด 3 โดส หรือ 4 โดสจะดีมากเช่นกัน
สำหรับการฉีดวัคซีน 2 เข็มแบบไขว้ มีประสิทธิผลลดการป่วยรุนแรงแบบใส่ท่อหายใจได้ 72-83% โดยสูงกว่าการฉีด 2 เข็มแบบคู่ทุกแพตฟอร์ม หากฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 และเข็ม 4 จะเพิ่มประสิทธิผลลดการป่วยที่รุนแรงแบบใส่ท่อหายใจและลดการเสียชีวิตจาก 70% เป็น 90% และ 99% ตามลำดับ โดยไม่ว่าจะฉีดกระตุ้นด้วย mRNA หรือ Viral Vector ประสิทธิผลไม่ต่างกัน และหากฉีดเข็ม 4 เข็ม 5 จะป้องกันติดเชื้อ 71% และ 83% ตามลำดับในช่วงการระบาดโอไมครอนปี 2565
"ประชาชนควรได้รับวัคซีนโควิด 3 เข็ม สูตรใดก็ได้เป็นพื้นฐาน เพื่อให้ปลอดภัยจากการป่วยรุนแรง และเสียชีวิตจากโควิดมากกกว่า 90% ทั้งนี้ สูตร 2 เข็มแรกแบบไขว้และกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย Viral Vector หรือ mRNA มีประสิทธิผลสูงในช่วงโอไมครอน" พญ.ปิยนิตย์ กล่าว
นอกจากนี้ พญ.ปิยนิตย์ กล่าวด้วยว่า การฉีดวัคซีนเข็ม 4 ยังสามารถติดเชื้อได้ แต่ไม่ใช่ว่าติดทุกคน อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนใหม่ๆ ช่วงแรกภูมิฯ ย่อมดี แต่เมื่อฉีดไปนานเกิน 4 เดือนภูมิคุ้มกันย่อมตก ดังนั้น จึงต้องมีการกระตุ้น โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่ม 608 มีโรคประจำตัว ขอแนะนำหากครบ 4 เดือนขอไปกระตุ้นอีกครั้ง
ทางด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า หากไม่มีข้อห้ามขอให้มาฉีด ขอให้มาฉีดเข็ม 3 จาก 45% ณ วันนี้ ต้องฉีดให้มากถึง 70% ให้ได้ อย่างมาเลเซีย ฉีด 3 เข็มไปถึง 70% แล้ว จึงขอให้ช่วยกันเชิญชวนคนอายุ 18 ปีขึ้นไปมาฉีดเข็ม 3 ส่วนอาการข้างเคียง หากเป็นโควิด มีอาการข้างเคียงหนักกว่าการฉีดวัคซีนอีก ยกเว้นมีข้อห้ามจริงๆ ซึ่งโอกาสเกิดข้างเคียงแม้จะมี แต่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม เข็ม 3 ไม่ว่าจะเป็น mRNA หรือ Viral Vector ฉีดได้หมด