'ป.ป.ช.'ภาค 9 ชี้มูลอดีตนายก อบต.เกาะสุกร จ.ตรัง พร้อมพวกรวม 11 รายรวมนายก อบต.คนปัจจุบัน ปล่อยให้เอกชนทำงานจัดทำอัฒจันทร์ก่อน สืบราคาทีหลัง ชี้ชัดเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าเมื่อวันที่ 26 ก.ค.65 ที่โรงแรมอีโค่อิน อ.เมือง จ.ตรัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ภาค 9 (ป.ป.ช.ภาค9) แถลงรายละเอียดผลการดำเนินงานของสำนักงานป.ป.ช. ในเขตพื้นที่ภาค 9 โดยมีนายสุชาติ กรวยกิตตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช.ภาค 9 พร้อม ผู้อำนวยการป.ป.ช.ประจำจังหวัดทั้ง 7 จังหวัดในในเขตพื้นที่ภาค 9 ของป.ป.ช. ได้แก่ ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส ซึ่งเนื้อหาตอนหนึ่งได้มีการชี้มูลนายอนุวรรตน์ ช่วยช่วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯอบต.เกาะสุกรและพวก รวม 11 ราย ในข้อหาว่าปล่อยให้เอกชนเดินหน้าโครงการไปก่อน แล้วมาสอบราคาทีหลัง
โดยนายราม วสุธนภิญโญ ผอ.ป.ป.ช.ประจำจ.ตรัง กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหา กรณีการดำเนินโครงการจ้างเหมาจัดทำอัฒจันทร์ ด้วยวิธีสอบราคาโดยมิชอบ ขององค์การบริหารส่วนตำบลเกาะสุกร(อบต.เกาะสุกร) อ.ปะเปลียน จ.ตรัง ซึ่งดำเนินการในปี 2551 ซึ่งเป็นการปล่อยให้เอกชนทำการก่อสร้างอัฒจันทร์แล้วเสร็จไปก่อน แล้วมาสอบราคาทีหลังเพื่อให้ได้เอกชนรายดังกล่าวเป็นผู้รับจ้าง
โดยคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายอนุวรรตน์ ช่วยช่วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯอบต.เกาะสุกรและพวก รวม 11 ราย โดยการดำเนินโครงการจ้างเหมาจัดทำอัฒจันทร์ ด้วยวิธีสอบราคาโดยมิชอบของอบต.เกาะสุกร พฤติการณ์ คือ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า การกระทำของนายอนุวรรตน์ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำ เนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัด ว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.นี้ ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 และมีมูล ความผิด ฐานกระทำการฝาฝืนต่อความสงบเรียบรอย หรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือ ละเลยไมปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไมชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
นายรามกล่าวว่า นอกจากนี้สำหรับนายสุนัน สัณห์พำนิชกิจ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 อดีตรองนายกฯอบต.เกาะสุกรในขณะนั้น(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกฯอบต.เกาะสุกรคนปัจจุบัน) ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า การกระทำของนายสุนัน มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 257 และมีมูลความผิดฐานกระทำการฝาฝน ต่อความสงบเรียบรอย หรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไมปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไมชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92 ส่วนนายสยมพร หรือนายพชร พักตร์จันทร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางจันจิรา สาราบรรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง ว่า จากการไต่สวนเบื้องต้น รับฟังได้ว่า นายสยมพร หรือนายพชร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ในฐานะปลัดอบต.เกาะสุกร เป็นผู้ลงนามให้ความเห็นให้ดำเนินการโครงการจ้างเหมาดังกล่าว และนางจันจิรา สาราบรรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในฐานะหัวหน้าส่วนกองคลัง อบต.เกาะสุกร เป็นผู้ลงนามต่อท้ายจากเจ้าหน้าที่พัสดุ ในรายงานขออนุมัติดำเนินการจัดจ้างโครงการ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาด้วย โดยที่รับรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า อัฒจันทร์ที่ดำเนินการจ้างเหมาจัดทำ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จมาก่อนแล้ว เพราะเคยถูกใช้ในโครงการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระดับหมู่บ้านและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น เมื่อวันที่ 27 - 28 มกราคม 2552 ซึ่งเป็นโครงการของอบต.เกาะสุกรเอง อีกทั้ง ผู้ถูก กล่าวหาที่ 3 ในฐานะปลัดอบต.เกาะสุกร ยังเป็นผู้ลงนามเห็นชอบในโครงการแข่งขันกีฬาดังกล่าวเอง การกระทำของนายสยมพร หรือนายพชร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางจันจิรา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 257 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศ คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล จ.ตรัง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทาง วินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง
นายรามกล่าวอีกว่า ส่วนนายสุวิทย์ หลงเก็ม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 และนางเรียม ฮาเซะ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่านายสุวิทย์ และนางเรียม ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหา ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป ขณะที่นายณรงค์ฤทธิ์ ใจตรง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 มีการกระทำอันมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้า หรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการ ยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาในครั้งนั้น และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตามพ.ร.บ.นี้ หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทางสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แต่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) จึงให้ยุติ การดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานนี้
ทั้งนี้ การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็น ผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด