‘เบญจา’ อัดรัฐบาลประยุทธ์ ไล่จับผู้ชุมนุมที่เห็นต่างทางการเมือง เผยดำเนินคดีทางการเมือง 1,800 กว่าคดี ก่อนจี้ให้ปล่อยตัว ‘ใบปอ-บุ้ง-นักโทษทางการเมือง’ ทั้งหมด ด้าน ‘บิ๊กตู่’ ลุกโต้อย่าโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว โทษคนที่เริ่มก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 กรณีสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเสนอ ภายใต้ยุทธการณ์ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค.2565 ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอภิปราย
น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในกรณีใช้กระบวนการยุติธรรม เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามประชาชนผู้เห็นต่าง และปิดกั้นการใช้เสรีภาพของประชาชน ว่า ตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพล.อ.ประยุทธ์ได้ทำลายทั้งระบบกฎหมายปกติ ระบบนิติรัฐ แล้วสถาปนาระบบกฎหมายชุดใหม่ขึ้นมาแทน โดยมักอ้างกฎหมาย เพื่อดำเนินคดีกับประชาชน กลายเป็นการปกครองแบบ Rule by law ผ่านกฎหมายที่เขียนขึ้นเองในรูปแบบประกาศ-คำสั่งของ คสช. และการใช้กฎหมายความมั่นคงต่างๆ ทั้ง มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นฯ และ มาตรา112 แบบบิดผัน มาใช้ดำเนินคดีกับประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร ควบคุมตัวในค่ายทหาร และดำเนินคดีในศาลทหาร
ยุคคสช.ดำเนินคดี 428 คน
จากรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จะพบว่า ภายใต้รัฐบาล คสช. มีพลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารอย่างน้อย 2,408 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีจากประกาศ-คำสั่ง คสช. อย่างน้อย 428 คน จำนวน 67 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 อย่างน้อย 197 คน 115 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีจาก ม. 116 อย่างน้อย 124 คน 50 คดี และมีผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม. 112 อย่างน้อย 169 คน
ทั้งนี้ จากเอกสารหมาย จ. 14 ที่ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ส่งไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อแกนนำผู้ชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง ที่แนะนำให้พนักงานสอบสวนตีความว่าการชุมนุมของประชาชนเป็นความผิดตาม ม. 116 และยังให้ใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารใส่ร้ายแกนนำการชุมนุม และให้ดำเนินคดีโดยให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับความยากลำบาก เป็นหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าการดำเนินคดีการเมืองทั้งหมดในยุค คสช. เป็นคดีนโยบาย
แม้ว่าหลังจากปี 2561 จะมีการเลือกตั้งที่ทำให้สถานการณ์เบาบางลง แต่จากกระแสการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ได้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งในปี 2563 จึงเกิดการดำเนินคดีการเมืองและการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างบิดเบือนตามนโยบายสมัย คสช. อย่างรุนแรง กว้างขวาง และสร้างความเสียหายร้ายแรงมากกว่าเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะการนำ ม. 112 กลับมาใช้อีกครั้งในลักษณะของคดีนโยบาย มาดำเนินคดีกับแกนนำการชุมนุมหลายบุคคล มีการฟ้องในต่างจังหวัดให้ผู้ต้องหาต้องสู้คดีด้วยความยากลำบาก มีการรื้อฟื้นคดีย้อนหลังไปหลายปี และยังมีการดำเนินคดีไม่เว้นแม้แต่กับเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี หรือเพียงการแสดงออกอย่างการแต่งชุดครอปท็อป เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาด้วยคดีนโยบายตาม ม. 112 ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ทั้งที่พฤติการณ์เป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองหรือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสันติ ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ไม่มีพฤติการณ์ที่จะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จนผู้ต้องหาหลายคนอดอาหารประท้วง มีการให้ประกันด้วยเงื่อนไขที่มุ่งริดรอนเสรีภาพ เรียกได้ว่าเป็นการ บีบให้หมอบกราบ แล้วค่อยคลาย ซึ่งในระยะหลังการดำเนินคดีโดยไม่ให้ประกันตัวในลักษณะนี้ ยังได้ลามไปถึงคดีอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
ยุคบิ๊กตู่เลือกตั้ง ดำเนินคดีการเมือง 1,832 คน
ทำให้คดีการเมืองที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล มีจำนวนสูงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ได้รับการประกันตัวอย่างน้อย 30 คน จากวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,832 คน โดยเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 282 ราย มีผู้ถูกดำเนินคดี ม. 112 กว่า 200 คน
น.ส.เบญจาอภิปรายต่อไปว่า การบิดเบือนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อค้ำจุนและรักษาอำนาจทางการเมืองอย่างมีระบบแบบแผน และกลายเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่ยังนำมาซึ่งวิกฤตของสถาบันตุลาการและสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงต้องมีการคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 คืนความปกติให้สังคมไทย ให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม ไม่ว่าจะมีความคิด ความเชื่อ และความฝันที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม
“พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ประเทศนี้ไม่มีนิติรัฐ ทำให้สถาบันตุลาการเสื่อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ได้รับการยอมรับและได้รับการต่อต้านมากทึ่สุดในประวัติศาสตร์ และเพื่อปลดล็อคชนวนระเบิดที่ประยุทธ์สร้างขึ้นมา เราต้องเริ่มต้นด้วยการเอาประยุทธ์ออกไป เปลี่ยนขั้วเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย รับฟังเสียงของทุกคน และนิรโทษกรรมทางการเมืองให้กับนักโทษ และนักต่อสู้ทางความคิดทุกคน” นางสาวเบญจากล่าว
ซึ่งในช่วงท้ายการอภิปราย บรรดาสมาชิกพรรคก้าวไกลในสภา ได้ยกป้ายที่มีใบหน้าของน.ส.ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือใบปอ และ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง จำเลยคดีดูหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีจำเลยได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นขบวนเสด็จ ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์
โต้ทำผิดกม.เอง อย่าโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียว
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ที่มีการชุมนุมเป็นการทำผิดกฎหมายที่มีอยู่แล้ว กำชับเจ้าหน้าที่ระมัดระวังการใช้กฎหมายแล้ว แต่การดำเนินคดีเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมเป็นอำนาจของศาล ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนก็พยายามให้เต็มที่แล้วให้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ และกฎหมายหลายตัวก็มีอยู่ พยายามผ่อนหนักผ่อนเบาโดยตลอด ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมการเคลื่อนไหวถึงต้องเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ และมีพรรคการเมืองบางพรรคที่เข้ามาอยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด คิดว่า คนไทยทั้งประเทศมองออกว่าการไปพูดจาในโรงเรียนมหาวิทยาลัยต่างๆเพื่อทำลายล้างระบบต่างๆ และเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด คนไทยคงไม่ยอม จะมาโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้เพราะท่านเป็นคนเริ่มทำเอง