มติวุฒิสภา 145 ต่อ 0 เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำทางเพศ หรือ กฎหมายฉีดให้ฝ่อ ใช้ยาลดฮอร์โมนทางเพศ เป็นเงื่อนไขลดโทษ-พักโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2565 ที่ประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในการความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.... ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามาญพิจารณาเสร็จแล้ว โดย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว. ประธาน กมธ.ฯ พิจารณาในวาระที่ 2-3
โดยที่ประชุมใช้เวลาพิจารณานานกว่า 4 ชั่วโมง กระทั่งมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายในวาระที่ 2 ด้วยคะแนน 137 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง
ทั้งนี้เมื่อเวลา 17.10 น.ที่ประชุม ส.ว.ได้พิจารณาลงมติในวาระที่ 3 โดยมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 145 เสียง ไม่มีผู้ไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง 2 เสียง จากนั้นส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาดำเนินการต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในการความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.... มีทั้งหมด 43 มาตรา โดยในวาระที่ 2 มีการแก้ไข 12 มาตรา มีสาระสำคัญ คือ การเพิ่มมาตรการติดตามผู้กระทำความผิดทางอาญาเกี่ยวกับเพศหรือการใช้ความรุนแรง เช่น การฆาตกรรม การข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดทางเพศเกี่ยวกับเด็ก การทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ที่แม้จะถูกจำคุกพ้นกำหนดโทษ ได้รับการปล่อยตัวสู่สังคมแล้ว แต่มีผู้กระทำความผิดส่วนหนึ่งมีแนวโน้มทำผิดซ้ำในรูปแบบเดิมอีก จึงต้องมีกฎหมายเฉพาะเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
โดยกำหนดให้มีทั้งมาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด มาตรการเฝ้าระวังภายหลังพ้นโทษ มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ และมาตรการคุมขังฉุกเฉิน ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำที่อาจเกิดขึ้นอีก
ทั้งนี้ในส่วนมาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด จะมีมาตรการทางการแพทย์สามารถให้ยากดฮอร์โมนเพศชาย หรือ ฉีดให้ฝ่อ แก่ผู้กระทำผิด หากเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้ โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช และอายุรศาสตร์อย่างน้อย 2คน เห็นพ้องกันและได้รับความยินยอมจากผู้กระทำผิด และให้นำผลการใช้มาตรการทางการ แพทย์ดังกล่าว เป็นเงื่อนไขพิจารณาลดโทษ พักการลงโทษ หรือให้ผู้กระทำผิดได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ส.ว. ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางในหลายประเด็น โดยเฉพาะมาตรา 21 เรื่องมาตรการทางการแพทย์ที่เปิดช่องให้มีการฉีดยาลดฮอร์โมนเพศแก่ผู้กระทำผิด โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ แต่ยังติดใจว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่
โดย พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม ส.ว. อภิปรายว่า การฉีดยาให้ฝ่อถือเป็นความลำบากของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องการฉีดให้ฝ่อไว้ คงไม่มีแพทย์คนใดทำให้ หากจะทำได้แพทยสภาต้องไปออกหลักการในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้รองรับไว้ก่อน รวมถึงมาตรา 21 ระบุอีกว่า การฉีดให้ฝ่อจะกระทำได้ หากผู้กระทำผิดหรือเว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น อยากทราบคำว่ากฎหมายระบุไว้เป็นอย่างอื่นมีความหมายว่าอะไร เพราะเหมือนเขียนแบบตีเช็กเปล่า เปิดช่องให้ผู้กระทำผิดถูกฉีดยา แม้ไม่ยินยอมก็ตาม
ขณะที่ นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ส.ว.อภิปรายว่า การฉีดยาดังกล่าวไม่ได้หมายถึงทำให้ไข่ฝ่อ แต่เป็นยาลดฮอร์โมนทางเพศ หลายคนบอกไม่ได้อยากทำผิด แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เวลาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จึงอยากให้ช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ ส่วนข้อสงสัยว่า ผู้กระทำความผิดต้องยินยอมให้ฉีดจึงจะกระทำได้ แล้วจะมีคนยินยอมให้ฉีดหรือไม่นั้น เชื่อว่ามีคนยินยอม โดยคนที่ยินยอมให้ฉีดคือ คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้จะยินยอมให้ฉีด รวมถึงถ้ายินยอมให้ฉีดจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษให้เบาลง ทำให้มีโอกาสได้รับความยินยอม
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ในฐานะประธานกมธ.พิจารณามาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง วุฒิสภา ชี้แจงว่า ข้อกังวลถึงวิธีการรักษาด้วยรูปแบบอื่นนั้น ไม่ใช่การใช้วิธีการรุนแรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ป่วยอย่างที่อภิปรายกัน แต่ต้องเป็นวิธีการที่ผ่านความเห็นชอบจากผู้วิชาชีพประกอบเวชกรรม ที่กำหนดไว้ว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 คน ต้องเห็นพ้องต้องกัน และต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ อย่างน้อยสาขาละ 1 คน จึงไม่ต้องกังวล และการจะดำเนินการทั้งหมดต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
ด้าน พล.อ.นพ.ไตรโรจน์ ครุทเวโช ส.ว.ในฐานะกมธ.ฯ ชี้แจงว่า ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาคือยาลดฮอร์โมนเพศชาย เพื่อกดการสร้างฮอร์โมน์ที่ต้องฉีดทุก 3 เดือน แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ทำให้ไข่ฝ่อจริงหรือไม่ แต่ต่อไปจะมียากินที่ขณะนี้พบว่า ช่วยลดพฤติกรรมผิดปกติได้ ส่วนกรณีที่ยังไม่มีการออกกฎหมายรองรับให้แพทย์ฉีดยาให้ฝ่อนั้น ทั้งนี้เชื่อว่า หลังกฎหมายฉบับนี้ผ่าน ทางแพทยสภาจะไปออกกฎหมาย เพื่อรองรับกฎเกณฑ์ดังกล่าวต่อไป