จนท.ตำรวจไทย หยุดยั้งแผนก่อการร้ายอิหร่านมุ่งโจมตีเป้าหมายอิสราเอล-ตะวันตกในประเทศไทย สตช.ย้ำต้องไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยปี 55 ก่อนไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคปลายปี-พบผู้ต้องสงสัยเคยถูกจับที่อินโดนีเซีย ในตัวเจอหนังสือเดินทางปลอมของประเทศบัลแกเรีย-ด้าน 'อิสราเอล' เชื่ออิหร่านต้องการตอบโต้เหตุลอบสังหารนักวิทย์-บุคลากรระดับสูงในประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวอ้างอิงข้อมูลจากนายวัสยศ งามขำ ผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์ สายอาชญากรรมที่อ้างข้อมูลมาจากแหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า หน่วยงานความมั่นคงของไทยมีคำสั่งให้จับตาความเคลื่อนไหวของชาวอิหร่านและคนไทยมุสลิมชิอะห์ ในการปฏิบัติการเป็น “สายลับ” ในไทย เพราะเกรงว่าจะมีสายลับจากประเทศอิหร่านและประเทศอื่นๆ เข้ามาก่อความวุ่นวายใสช่วงการประชุมเอเปคที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ในเมืองไทย เบื้องต้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือ “ลับมาก” ไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และกองบัญชาการตำรวจที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและหาข่าวทางลับอย่างใกล้ชิด
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวว่า คำสั่ง “ลับมาก” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวมีขึ้น อ้างอิงจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ทางการอินโดนีเซียได้รับข้อมูลว่ามีชายชาวต่างชาติได้เดินทางเข้ามาในประเทศอินโดนีเซียโดยใช้หนังสือเดินทางปลอมของประเทศบัลแกเรียในชื่อของ “Ghassem Saberi Gilchalan” จากการตรวจสอบข้อมูลจึงยืนยันได้ว่า หนังสือเดินทางประเทศบัลแกเรีย เลขที่ 382509836 เป็นของปลอม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ทางการอินโดนีเซียจึงวางแผนจับกุม Gilchalan ก่อนจะเดินทางออกจากประเทศอินโดนีเซียไปยังเมืองโดฮา ประเทศการ์ตาร์ โดยสายการบินการ์ตาร์แอร์เวย์ ซึ่งสามารถจับกุมได้ที่บริเวณอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินซูการ์โน ฮัตตา อินเตอร์เนชันแนล (Soekarno–Hatta International Airport) เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.
จากการสอบสวน Gilchalan ในท้ายสุดให้การยอมรับว่า ได้ใช้หนังสือเดินทางปลอมของประเทศบัลแกเรียเพื่อเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศอินโดนีเซียจริง พบประวัติการเดินทางเข้าประเทศอินโดนีเซียโดยใช้หนังสือเดินทางประเทศบัลแกเรียกว่า 10 ครั้ง มีหนังสือเดินทางอยู่ทั้งหมด 3 เล่ม โดยแบ่งเป็นหนังสือเดินทางประเทศบัลแกเรีย 2 เล่ม และประเทศอิหร่าน 1 เล่ม โดยหนังสือเดินทางประเทศบัลแกเรียทั้ง 2 เล่มเป็นหนังสือเดินทางปลอม ศาลได้ตัดสินจำคุก Gilchalan ข้อหาหนังสือเดินทางปลอม เป็นระยะเวลา 2 ปี
แหล่งข่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังบอกว่า ภายหลังการจับกุม ตำรวจอินโดนีเซียได้ตรวจค้นสัมภาระและทรัพย์สินของ Gilchalan พบว่ามีโทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง แท็บเล็บ 1 เครื่อง (ข้อมูลทั้งหมดรวมกว่า 400 กิ๊กกะไบต์) โมเด็มอินเตอร์เน็ต 2 เครื่อง ซิมการ์ดของประเทศต่างๆ หลายอัน เงินสดกว่า 16 สกุล รวมเป็นเงินกว่า 320,000 บาท พบบัตรสมาชิกของอดีตตำรวจมาเลเซีย เมื่อตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือพบไฟล์สแกนภาพหนังสือเดินทางของประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศ และ “พบชื่อคนไทย” ที่เป็นลูกหลานของมุสลิมชีอะห์ตระกูลใหญ่ในประเทศไทยด้วย ทางการอินโดนีเซียเลยพุ่งเป้าว่า Gilchalan คือ สายลับของประเทศอิหร่าน
จากการสอบสวนอย่างเข้มข้น ภายหลัง Gilchalan รับสารภาพเพิ่มเติมว่าได้รับภารกิจจากอดีตนักการทูตอิหร่านในประเทศมาเลเซีย ที่ชื่อว่า “Sayed Alireza Mir Jafari” ให้ทำภารกิจแฝงตัวเป็นสายลับในมาเลเซียและอินโดนีเซียหลายต่อหลายครั้ง และล่าสุดคือ ความพยายามในการล็อบบี้ทางการอินโดนีเซียให้ปล่อยเรือบรรทุกน้ำมัน MT Horse ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันผิดกฎหมายของประเทศอิหร่านที่ถูกทางการอินโดนีเซียยึดเอาไว้ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2564 อีกทั้งให้เปิดบริษัทปลอมขึ้นที่บาหลีเพื่อใช้เป็นเซฟเฮาส์เพื่อปกปิดการแฝงตัว
“การเผยแพร่ข่าวและรายละเอียดของ Gilchalan ทำให้หลายประเทศวิตกกังวลถึงภารกิจลับของอิหร่านที่ส่งสายลับเข้ามาแฝงตัวในประเทศต่างๆ ซึ่งอาจถือเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงในประเทศนั้นๆ และนักวิเคราะห์ก็มองว่าอิหร่านอาจทำแบบนี้ในหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็รวมถึง “ประเทศไทย”
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ประเด็นที่น่ากังวล คือ ข้อมูลที่พบจากโทรศัพท์ของ Gilchalan ซึ่งมีรายชื่อคนไทยมุสลิม ชีอะห์ ตระกูลดังในประเทศไทย อีกทั้ง Gilchalan และ Sayed Alireza Mir Jafari มีประวัติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง และได้พบปะกับคนไทยชีอะห์ระดับผู้นำคนสำคัญที่มีความใกล้ชิดและทำงานให้กับฝ่ายอิหร่านมาอย่างยาวนาน จึงมีความเป็นไปได้มากว่าสายลับอิหร่านอาจเข้ามาแฝงตัวอยู่ในประเทศไทยเพื่อดำเนิน “ภารกิจ” บางอย่าง โดยใช้วิธีการให้คนสัญชาติอิหร่านปลอมตัวโดยใช้หนังสือเดินทางชาติอื่น หรือใช้คนไทยกันเองนี่แหละให้เป็นสายลับให้กับตัวเองทำภารกิจโดยสนับสนุนเงินจำนวนมากผ่านทางหลายรูปแบบเช่น ให้เงินส่วนตัว เงินสนับสนุนด้านการศึกษาต่อสถาบันการศึกษา หรือเงินสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ
“เรากังวลว่าในปลายปี 2565 นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC จะมีผู้นำหลายชาติทั่วโลกเดินทางเข้ามายังประเทศไทย สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ ภารกิจรักษาความปลอดภัย ดังนั้น เหตุการณ์ความรุนแรง การก่อความไม่สงบต่างๆ ต้อง “ห้าม” มิให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด” แหล่งข่าวกล่าว
เขากล่าวด้วยว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในไทยคงต้องให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังป้องกัน อันตรายและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากกลุ่มใดๆ ก็ตาม จะต้องเฝ้าระวังในทุกมิติ ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ทางการไทยที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงหลายหน่วยได้รับรู้รับทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และคงยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น APEC หรืองานใดๆ ก็ตาม ความรุนแรง ความอันตราย ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของคนไทยทุกคน เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และไม่อยากให้ซ้ำรอยเหตุระเบิดสุขุมวิท 71 โดยชาวอิหร่านเมื่อปี 2555
ขณะที่สำนักข่าวไทม์ออฟอิสราเอลของประเทศอิสราเอลได้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้หยุดยั้งความพยายามของชาวอิหร่าน ที่พยายามจะก่อการร้ายต่อเป้าหมายชาวตะวันตกและเป้าหมายชาวอิสราเอลจำนวนหลายแห่งในประเทศไทย
รายงานข่าวของอิสราเอลระบุด้วยว่าทางประเทศอิหร่านนั้นได้พยายามจะตอบโต้ต่อกรณีการลอบสังหารและการเสียชีวิตอย่างลึกลับของบุคคลระดับสูงในประเทศอิหร่านในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อาวุโส และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ
ขณะที่ข่าวช่อง 12 ระบุว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในประเทศไทยนั้นประสบความสำเร็จในการป้องกันบุคคลต้องสงสัยจากอิหร่านในการสร้างร้านซึ่งจะเป็นฉากหน้าของปฏิบัติการก่อการร้ายในประเทศเพื่อมุ่งเน้นโจมตีไปยังชาวอิสราเอล
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าความพยายามดังกล่าวจะประสบความล้มเหลว ก็เชื่อกันว่าอิหร่านนั้นจะวางแผนในการโจมตีเป้าหมายชาวอิสราเอลในประเทศไทยและในที่อื่นๆอีกครั้งหนึ่ง
และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นทางการอิสราเอลยังได้ออกคำเตือนไม่ให้ชาวอิสราเอลเดินทางไปยังประเทศตุรเคียด้วยเช่นกันเนื่องจากมีความกังวลว่าจะมีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่อิหร่านในประเทศตุรเคียที่พุ่งเป้าไปยังชาวอิสราเอล
เรียบเรียงข่าวส่วนหนึ่งจาก:https://www.timesofisrael.com/thai-security-forces-said-to-have-foiled-iranian-attempt-to-attack-israelis/