‘บิ๊กตู่’ เดือดปัดรีดภาษีประชาชน ซัดฝ่ายค้านอภิปรายผิดที่ ไม่ใช่งบของพรรคการเมืองที่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล อย่าใช้โอกาสหาเสียง ‘พิธา’ โต้เป็นเวทีพิทักษ์ภาษีประชาชน ‘ชลน่าน’ ฝากถึงคนเขียนโพยอย่าใส่อารมณ์มาให้นายกฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.พ.ค.2565 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 3,185,000 ล้านบาทเป็นวันที่สอง ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ โดยมีกำหนดการพิจารณาระหว่างวันที่ 31 พ.ค. – 2 มิ.ย.2565
เมื่อเวลา 10.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงว่า ตนเข้าใจดีและคิดว่าทุกคนมุ่งหวังให้ประเทศมีความก้าวหน้าเจริญเติบโต แต่ก็ งงๆ อยู่เหมือนกันว่า ฟังการอภิปรายงบประมาณ 2566 หรือพิจารณางบประมาณของพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาลเวลานี้ อย่าใช้โอกาสในการหาเสียง ผิดเวที
เหตุผลที่รัฐจัดเก็บได้น้อยลง เพราะสถานการณ์เรื่องโควิด สงครามการค้า สงครามความขัดแย้ง เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยอมรับ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำไว้คือเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพื่อทำให้จีดีพีสูงขึ้น ถ้าหาเงินไม่ได้ มันก็จ่ายไม่ได้ ถึงต้องจ่ายแบบพุ่งเป้า ดูคนเดือดร้อนมากที่สุด สถานการณ์วันนี้ สิ่งที่ต้องมองร่วมกันคือทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่รอด แน่นอนว่าต้องมีความลำบาก ไม่ใช่รัฐบาลสบายใจมีความสุข ไม่ใช่เลย คิดทุกวัน ความสำเร็จหลายอย่างก็มีอยู่ ถ้าจะพูดกันแต่ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ก็ไม่เป็นธรรมมากนัก
มีคนเปรียบเทียบกับประเทศที่มีประชากรไม่ถึง 10 ล้านคน แต่จัดเก็บรายได้สูง เพราะเก็บภาษี 30% แต่ไทยเก็บภาษี 10% เราไม่ได้รีดภาษีกับใคร ไม่ได้เพิ่มอัตราภาษีขึ้นเลย เพราะรู้ว่ายังเก็บไม่ได้ ประเทศไทยยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ อยากทราบว่าที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะคนที่อภิปรายว่ารัฐบาลหารายได้ไม่เป็น ขอให้มองย้อนกลับไปดูว่า ตั้งแต่เข้ามาหลายปี เราทำอะไรไว้แล้วบ้าง
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ใช้งบประมาณไปมากพอสมควร สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อใช้เทคโนโลยีเข้ามา ลดการบรรจุข้าราชการใหม่ จากการเกษียณอายุในแต่ละปี ซึ่งอยู่ในแผนอยู่แล้ว แต่ลดจำนวนข้าราชการตอนนี้แล้วใครจะทำงานให้ แต่ได้ให้นโยบายไปแล้วว่าทุกกระทรวงจะต้องลดการบรรจุข้าราชการใหม่ในแต่ละปี ส่วนเทคโนโลยี 5G ไทยเป็นประเทศแรกๆในอาเซียนที่พร้อมเปิดประตูสู่โอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล วันนี้ทำให้เกิดสังคมไร้เงินสด
“ท่านบอกว่า รัฐบาลไม่มีทางอื่นนอกจากรีดภาษี ผมรีดใครหรือยัง ในส่วนดิจิทัลจะทำให้เกิดรายได้มากขึ้นพอสมควร เชื่อมต่อการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ท่านไม่พูดถึงเลย เวลาพูดก็ไม่ฟัง แล้วก็หาทางโจมตีให้มากที่สุด ผมจำเป็นต้องชี้แจง ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องหนี้ครัวเรือน แน่นอนว่าต้องเพิ่มขึ้น ต้องเดือดร้อนแน่นอน แล้วคิดว่าตนรู้สึกหรือไม่ ตนไม่เห็นใจคนเป็นหนี้หรือ ไม่เห็นใจคนจนหรือ จะเห็นได้ว่าหลายโครงการทุ่มเทไปมหาศาลเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง แต่มันมากอย่างที่ต้องการไม่ได้เพราะงบประมาณจำกัด นโยบายเราคืออยู่รอด ปลอดภัย และพอเพียง ลดหนี้สิน ลดปัญหา ท้ายที่สุดจะเกิดความยั่งยืน ต้องเดินแบบนี้ แต่จะรื้อทั้งหมด หากมีโอกาสก็ลองทำแล้วกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงในหลายประเด็นที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิงเกี่ยวกับการใช้งบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา โดยตลอดเวลา 40 นาที การชี้แจงเป็นไปอย่างขึงขัง ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวอีกว่า “ผมขอใช้เวลาเท่านี้ก่อน จริงๆมีเรื่องพูดได้ทั้งวัน เพราะผมทำกับมือ ผมทำเอง ใช้คณะทำงานเป็นร้อย กี่คณะขึ้นมาจากข้างล่าง ไม่ใช่คิดเอง คิดคนเดียว ยังไม่ต้องประท้วงผมหรอกตอนนี้ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ” จากนั้นได้ลุกออกจากห้องประชุมทันที
ต่อมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ใช้สิทธิ์พาดพิง อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าใช้เวทีงบประมาณประชาชนเป็นการหาเสียงของพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่ยังไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาล ก็อยากจะบอกนายกรัฐมนตรีว่า นี่คือเวทีพิทักษ์ภาษีประชาชน ถ้าติท่านอย่างเดียวแล้วไม่มีอะไรใหม่ๆมานำเสนอ ท่านก็หาว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่ ส.ส.ของเราพยายามเอาอะไรใหม่ๆมานำเสนอ มีการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ก็ขอให้ท่านเข้าใจไว้ด้วย และไม่ต้องกลัว เพราะเมื่อถึงเวลาของพวกตน พวกตนทำแน่นอน
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ฟังคำตอบนายกรัฐมนตรีวันนี้ ท่านยังกล่าวหาสภาอยู่ ให้ร้ายป้ายสีสภา ทำให้เสียหาย ถ้าตีความตามนายกรัฐมนตรีพูด สภาผิดทั้งหมด โดยเฉพาะประเด็นที่อภิปรายเรื่องงบลงทุน ที่เปรียบเทียบงบลงทุนปี 2565 กับ 2566 ตนชี้ให้เห็นว่า ท่านจัดเก็บรายได้ หารายไม่ได้ จะทำให้งบลงทุนหมิ่นเหม่ต่อการผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พร้อมย้ำว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่อนุมัติงบประมาณ หากรายการใดไม่เหมาะสมมีสิทธิ์ปรับลด ท่านขอซื้อเครื่องบิน ซื้อเรือดำน้ำ เราปรับลดได้ทั้งหมด เมื่อปรับลดแล้ว เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องส่งโครงการขอใช้งบประมาณเข้ามา ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยของบลงทุนเข้ามา
“กราบเรียนท่านประธานผ่านไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วยครับ ไม่ควรแสดงภาวะอย่างนี้ในการโยนผิดให้คนอื่น แม้กระทั่งฝ่ายนิติบัญญัติท่านยังล่วงเกิน ไม่เหมาะจริงๆที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เวลาตอบในสภานะครับ ด้วยความเคารพครับ ฝากบอกคนเขียนโพยมาให้ด้วยว่า เวลาเขียนโพยอย่าใส่อารมณ์มาด้วย เลยทำให้นายกรัฐมนตรีมีอารมณ์” นพ.ชลน่าน กล่าว
'จิราพร'ตั้งฉายางบฉบับขูดรีดประชาชน ตั้งเป้าเก็บแต่ภาษี
เมื่อเวลา 09.05 น. น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ไทยประกาศเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เป็นสัญญาณเปิดเศรษฐกิจ ดังนั้นร่างงบประมาณ 2566 จะต้องเตรียมไว้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด แต่หลังจากศึกษารายละเอียด จะเห็นว่านอกจากจะไม่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นงบฉบับขูดรีดประชาชน ที่ออกแบบมาเพื่อหารายได้เข้ารัฐด้วยการขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน ซ้ำเติมคนลำบากจากโควิด
น.ส.จิราพร กล่าวว่า การตั้งงบประมาณขาดดุลครั้งนี้ รัฐบาลปรับลดเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณเหลือ 6.95 แสนล้านบาท เพื่อให้ตัวเลขการกู้ดูน้อยกว่าปีที่แล้ว และเลือกที่จะเพิ่มประมาณการรายได้เป็น 2.49 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากปีก่อน 9 หมื่นล้านบาท พฤติกรรมนี้เป็นการเอาเปรียบประชาชน จึงเกิดคำถามว่ารายได้ที่จะจัดเก็บเพิ่มนั้นมาจากไหน เพราะที่ผ่านมาก็เจอพิษโควิดกันหมด พร้อมมีข้อสังเกตว่า รายได้ภาษีนิติบุคคล 80% มาจากบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัทใหญ่มีรายได้เพิ่มเพื่อมาจ่ายภาษีนิติบุคคลใหเข้าเป้าตามที่ได้ตั้งใจไว้ โดยที่อาจจะละเลยไม่สนับสนุนบริษัทขนาดกลางขนาดเล็ก
ปีนี้จะเป็นปีแรกที่รัฐบาลเริ่มเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มจำนวน เดิมทีต้องการกระจายความมั่งคั่งจากคนรวยเพื่อความเป็นธรรม แต่พอเก็บจริงก็พบว่า แทบจะเก้บจากกลุ่มเป้าหมายไม่ได้ เพราะเศรษฐีคนรวยหาช่องโหว่ในการทำให้เสียภาษีน้อยลง ใจกลาง กทม.ตอนนี้มีแต่สวนป่าสวนผลไม้เต็มไปหมด คนจ่ายภาษีกลายเป็นชนชั้นกลาง คนที่เพิ่งเริ่มมีบ้าน เพิ่งลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์
นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 2565-2566 รัฐบาลเรียกเก็บเงินรัฐวิสาหกิจทุกแห่งเพิ่มขึ้น 5% ยกตัวอย่างสาขาพลังงานอ่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากเดิมต้องนำเงินส่งคลัง 45% ของกำไร แต่ตอนนี้ต้องเพิ่มเป็น 50% ของรายได้ หรือเรียกว่า แบ่งกำไรครึ่งหนึ่งให้กับรัฐบาล แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่เกิดผลกระทบเต็มๆ ตั้งแต่ปี 2565 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานประกาศขึ้นค่าไฟในรอบ 2 ปี จนปัจจุบันค่าไฟขึ้นเป็น 4 บาทต่อหน่วย ทำให้ภาระค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น การที่รัฐบาลไม่เข้าไปกำกับดูแลเพราะต้องการส่วนแบ่งกำไรนี้มาเป็นงบประมาณใช่หรือไม่
“สรุปประชาชนเสียทั้งขึ้นทั้งร่อง ภาษีก็เสีย ค่าไฟจ่ายแพง ค่าครองชีพพุ่งกระฉูด แต่เงินในกระเป๋าลดลง ไม่มีช่องทางลืมตาอ้าปาก รัฐบาลกำลังปล่อยให้ประชาชนไปตายเอาดาบหน้า” น.ส.จิราพร กล่าว
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเกือบทุกปี มีเพียงปี 2562 ที่จัดเก็บรายได้เข้าเป้า และไม่ได้เกิดจากความสามารถแต่เป็นเพราะรัฐวิสาหกิจส่งรายได้เข้าคลังเยอะ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้บริหารไร้ประสิทธิภาพ ไร้ทิศทาง หาเงินไม่เป็นตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติโควิดแล้ว อย่าลืมว่าตั้งแต่ปี 2563-2565 มีเงินกู้จาก พ.ร.ก. 3 ฉบับ เท่ากับว่ามีเงินลงทุนรวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้า ดังนั้นปี 2566 ก็อย่าหวังว่าจะจัดเก็บได้เข้าเป้า
“รัฐบาลนี้ใช้เงินมือเติบ สุรุ่ยสุร่าย แต่หารายได้ไม่เป็น ตลอด 8 ปียังวงเวียนกับการลงทุนแบบเก่าๆ ไม่ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อวางฐานรายได้ใหม่ๆตามที่ประกาศไว้ วันนี้เกิดโควิดเราจึงไม่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนตัวใหม่ มัวแต่กินบุญเก่า ส่งออกและท่องเที่ยวเป็นอัมพาต ทำให้เศรษฐกิจน่วมมาถึงวันนี้” น.ส.จิราพร กล่าว
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า Creative economy หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เราได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงบ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตั้งแต่ 20 ปีพรรคไทยรักไทย นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีแนวคิดวางรากฐานระบบนิเวศประเทศ หัวใจสำคัญคือ ทำให้คนที่เป็นสินทรัพย์สำคัญที่สุด เกิดกระบวนการเรียนรู้ ใช้ความสร้างสรรค์ทางปัญญา ผนวกกับนวัตกรรม สร้างมูลค่าใหม่ให้กับสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่ ทำให้สินค้าและบริการยากที่จะลอกเลียนแบบ และขายได้ในราคาที่สูงขึ้น
สมาชิกฝั่งรัฐบาลหลายท่านพยายามบอกว่าฝ่ายค้านเล่นการเมืองไม่รับร่างงบประมาณ ถ้าไม่รับ คนเดือดที่สุดคือประชาชน ดิฉันต้องเรียนว่า ถ้ารับร่างงบประมาณนี้ต่างหากที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะเวลาที่ยากลำบากขนาดนี้ 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสร้างรายได้ไม่เป็น ไม่เคยใช้จ่ายเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ นอนกินบุญเก่า ไม่เคยสนใจวางรากฐานเพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่ให้กับประเทศ พอจนหนทางก็มารีดภาษีมากขึ้น ทั้งที่ประชาชนลำบากอยู่ ถ้าปล่อยร่างงบประมาณฉบับนี้ผ่านไป ทุกอย่างจะวนเวียนซ้ำซากแบบนี้ทุกปี
“เมื่อวาน พล.อ.ประยุทธ์ ตัดพ้อว่า ฝ่ายค้านวิจารณ์แบบเดิมไม่มีอะไรใหม่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำความเข้าใจว่า ถ้ายังทำงบประมาณแบบเดิม โครงสร้างแบบเดิม มีทิศทางหารายได้แบบเดิม ใช้เงินแบบเดิมเหมือน 8 ปีที่ผ่านมา ดิฉันขอให้ร่างงบประมาณนี้ถูกตีตกพร้อม พล.อ.ประยุทธ์ และให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จัดทำงบประมาณฉบับใหม่คืนนความหวังให้คนไทย” น.ส.จิราพร กล่าว