อธิบดีดีเอสไอ ลงพื้นที่สอบข้อเท็จจริงปัญหาออกเอกสารสิทธิ์ทับที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ป่าสงวนอ่าวนาง-หางนาค จว.กระบี่ พบมีการบุกรุกจริง ตั้งราคาซื้อขาย125 ไร่ ๆ ละ 25,000,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 3,500 ล้าน สั่งจนท.บินโดรนสำรวจ บูรณาการร่วมหน่วยงานอื่นทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติสมบัติรัฐต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยนายศุภชัย คำคุ้ม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ ภาค 8 กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค เข้าพบนายสุพจน์ ภู่รัตนโอภา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 และพันเอกดุสิต เกษรแก้ว ผู้แทน กรอมน.ภาค 4 ณ สำนักงานอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เพื่อประชุมหารือและร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบการบุกรุกที่ดินของรัฐเพื่อเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีและพื้นที่เขตป่าอ่าวนาง และป่าหางนาคบางส่วน ซึ่งเป็นกรณีสืบเนื่องจาก คณะพนักงานสืบสวน ตามเรื่องสืบสวนที่ 54/2565 ของศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาค 8 กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงพื้นที่เพื่อทำการสืบสวนพบข้อเท็จจริงว่า พื้นที่ที่มีการบุกรุกดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าอ่าวนาง และป่าหางนาค ในพื้นที่ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ และพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี
โดยมีการออกเอกสารสิทธิในบริเวณที่ดินของรัฐดังกล่าว จำนวน 6 แปลง ได้แก่
1.หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 751 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 23 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
2. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 777 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 79 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
3. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 791 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 104 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
4. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 799 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 96 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
5.หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 800 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 94 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
6.หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ก.) เลขที่ 1340 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งออกจากหลักฐานเดิมคือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 44 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนางอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 94 ได้ออกสืบเนื่องจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 94 หมู่ที่ 4 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ โดยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ได้ออกเอกสารสิทธิในช่วงปี พ.ศ.2526 – 2528 มีแต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 1340 ซึ่งได้ออกเมื่อปี พ.ศ.2539
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ในวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่าการออกเอกสารสิทธิ์มีการทับพื้นที่ของอุทยานฯ และพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งจากการประเมินมูลค่าความเสียหายต่อรัฐแล้ว การบุกรุกพื้นที่ดังกล่าวนั้น ได้มีการซื้อขายในราคาไร่ละ 25,000,000 บาท ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว มีเนื้อที่จำนวน 125 ไร่ ที่ดินในบริเวณดังกล่าว จึงมีมูลค่ากว่า 3,500,000,000 บาท
"ต่อจากนี้ จะมีคำสั่งให้ศูนย์ปฏิบัติการแผนที่และภูมิสารสนเทศ กองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำอากาศยานไร้คนขับ มาบินสำรวจแผนที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราทั้งหมด เพื่อสำรวจ และอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ พื้นที่การครอบครองเอกสารสิทธิ์ว่าถูกต้องหรือไม่ พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน มาทำการรังวัดพื้นที่ โดยจะมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมที่ดิน เพื่อทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติให้กลับมาเป็นสมบัติของรัฐต่อไป" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษระบุ