ไทยป่วยโควิดเพิ่ม 23,015 ราย ATK เป็นบวก 15,059 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อรวม 38,074 ราย อาการหนัก 1,971 ราย ขณะที่หายกลับบ้าน 27,626 ราย ส่วนเสียชีวิต 106 ราย เป็นเด็ก 4 ขวบ 1 ราย-ผู้ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นถึง 98 ราย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2565 ศูนย์บริหารสถาการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ประจำวัน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ 23,015 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อในประเทศ 22,863 ราย เกิดจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 22,647 ราย เกิดจากการค้นหาเชิงรุกและพบการติดเชื้อในชุมชน 216 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ 57 ราย อีก 95 รายเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมผู้ป่วยสะสม 3,948,869 ราย
ส่วนผู้ป่วยเข้าข่ายจากการตรวจ ATK วันนี้อยู่ที่ 15,059 ราย ทำให้ไทยมีผู้ติดเชื้อรวม 38,074 ราย
หายป่วยเพิ่ม 27,626 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 232,682 ราย โดยในจำนวนนี้มีอาการหนัก 1,971 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 834 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 106 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 26,395 ราย
ด้านผู้เสียชีวิต 106 ราย มาจาก กทม. 8 ราย ปริมณฑล 9 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 ราย ภาคเหนือ 16 ราย ภาคใต้ 9 ราย และภาคกลาง 29 ราย แบ่งเป็นชาย 62 ราย หญิง 44 ราย อายุระหว่าง 4 - 100 ปี ค่ามัธยฐานวันที่พบเชื้อ-เสียชีวิต 6 วัน และพบเชื้อวันเสียชีวิต 14 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 คิดเป็น 97% จำแนกเป็น ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี 80 ราย คิดเป็น 75% ป่วยเรื้อรัง 23 ราย คิดเป็น 22% และไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 3 ราย คิดเป็น 3% สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค ได้แก่ มีโรคประจำตัว โดยติดเชื้อจากคนรู้จัก ครอบครัว และอยู่ในพื้นที่ระบาด
ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นถึง 98 ราย
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด ตามลำดับ ได้แก่ กทม. 2,932 ราย นนทบุรี 1,082 ราย ขอนแก่น 994 ราย ชลบุรี 981 ราย สมุทรปราการ 712 ราย นครปฐม 554 ราย สมุทรสาคร 549 ราย นครศรีธรรมราช 528 ราย บุรีรัมย์ 514 ราย และสงขลา 479 ราย
ขณะที่ การกระจายวัคซีนในประเทศ เมื่อวันที่ พบผู้ที่ได้รับผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มเติม จำนวน 25,036 ราย ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 24,875 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 73,051 ราย รวมสะสมผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 131,448,508 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 55,965,161 ราย คิดเป็น 80.5% ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 50,635,127 ราย คิดเป็น 72.8% และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 24,848,220 ราย คิดเป็น 35.7%
เดินทางเข้าไทยติดเชื้อใหม่ 95 ราย
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เดินทางมาจาต่างประเทศ 95 ราย ทั้งหมดเดินทางเข้ามาแบบไม่ต้องกักตัว (Test and Go) 86 ราย แบบแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) 7 ราย และแบบลักลอบ 2 ราย
ทำให้ผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ เดือน เม.ย. สะสมรวม 732 ราย จำแนกเป็น แบบไม่ต้องกักตัว (Test and Go) 615 ราย แบบแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) 76 ราย แบบกักตัว (Quarantine) 41 ราย
ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 1.03 ล. รวมสะสม 501.11 ล้านราย
ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 1,033,034 ราย รวม 501,113,443 ราย อาการหนัก 43,415 ราย หายป่วย 450,959,851 ราย เสียชีวิต 6,209,620 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ เกาหลีใต้ พบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง 1,367,873 ราย สะสม 15,830,644 ราย เยอรมนี พบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง 977,384 ราย สะสม 22,936,514 ราย ฝรั่งเศส พบผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง 935,108 ราย สะสม 27,163,629 ราย ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก
โควิดไทย 14 เม.ย.ติดเชื้อใหม่ 23,015 เสียชีวิตยังสูง 106 พบยังไม่ได้ฉีดบูสเตอร์ 45 ราย
อนึ่งเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. สำนักข่าวอิศรา รายงานสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประจำวันที่ 13 เม.ย. 2565 ว่าในวันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งสิ้น 23,015 ราย ส่งผลทำให้มีผู้ติดเชื้อใหม่นั้บตั้งแต่ปี 2565 ทั้งสิ้น 1,725,4434 ราย โดยแบ่งออกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศ 22,920 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 95 ราย มีผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 57 ราย มีผู้เสียชีวิตรายใหม่ 106 ราย ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ต้นปี 2565 อยู่ที่ 4,697 ราย ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเข้าข่ายหรือ ATK อยู่ที่ 15,059 ราย
โดยผู้เสียชีวิตจำนวน 106 รายดังกล่าวนั้นแบ่งออกเป็น ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย23 ราย เป็นผู้ป่วยมะเร็ง10 ราย เป็นผู้ป่วยติดเตียง10 ราย อยู่ในกลุ่ม608จำนวน103 ราย(ร้อยละ97) เป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีนครบสองเข็ม52ราย เป็นผู้ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแต่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 45 ราย มีอาการติดเชื้อในปอดชัดเจน104 ราย ไม่มีรายงานอาการติดเชื้อในปอด2ราย
ขณะที่ข้อมูลการรักษานั้นพบว่ามีผู้หายป่วยรายใหม่รวม 27,626 ราย ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี 2565 มีผู้หายป่วยรวมแล้ว 1,521,298 ราย มีผู้ป่วยที่กำลังรักษา 232,682 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 60,460 ราย อยู่ในโรงพยาบาลสนาม 172,222 ราย เป็นผู้ป่วยปอดอักเสบ 1,971 ราย และเป็นผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 834 ราย