สธ.เผยประสิทธิผลวัคซีนโควิด 2 เข็มป้องกันติดเชื้อโอไมครอนไม่อยู่ แนะเข้ารับเข็ม 3-4 พบป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% พร้อมเดินหน้าฉีดบูสเตอร์โดสให้ผู้สูงอายุก่อนสงกรานต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2565 นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทยว่า สำหรับการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริง โดยเป็นความร่วมมือระหว่างคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่ ร่วมกับคณะทำงานติดตามประสิทธิผลวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และคณะทำงานวิชาการ ข้อมูลใน จ.เชียงใหม่ จะพบว่าการระบาดช่วงแรกตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 อัตราการเสียชีวิตของผู้สูงอายุยังไม่มาก โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2565 คนสูงอายุเมื่อเทียบกับคนเสียชีวิตทั้งหมดสูงถึง 89.5%
อย่างไรก็ตาม ผลเบื้องต้นจากการประเมินประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.พ. 2565 ในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อโอมิครอน ดังนี้
-
กรณีฉีดวัคซีน 2 เข็มในช่วงเดือน ม.ค. และ ก.พ. ไม่สามารถป้องกันโอมิครอนได้
-
กรณีฉีดวัคซีน 3 เข็ม ในเดือน ม.ค. 65 ป้องกันติดเชื้อ 68% และเดือน ก.พ.ป้องกันได้ 45%
-
กรณีฉีดวัคซีน 4 เข็ม เดือน ก.พ.ป้องกันได้ 82% แต่จุดสำคัญคือ ป้องกันการเสียชีวิต
ตัวเลขการป้องกันการเสียชีวิต ดังนี้
-
กรณีฉีดวัคซีน 2 เข็ม ในเดือน ม.ค. ป้องกันการเสียชีวิต 93% และเดือนก.พ. 85%
-
กรณีฉีดวัคซีน 3 เข็ม ในเดือน ม.ค.ป้องกันการเสียชีวิตได้ 98% และเดือนก.พ. ได้ 98%
-
กรณีฉีดวัคซีน 4 เข็ม ยังไม่มีผู้เสียชีวิตในผู้ที่ได้วัคซีน 4 เข็ม
นพ.เฉวตสรรกล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขผลเบื้องต้นการประเมินประสิทธิผลของวัคซีนในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงระดับประเทศ ของเดือน ม.ค.2565 พบว่า การป้องกันการติดเชื้อหากฉีด 2 เข็ม ป้องกันได้ 4.1% ซึ่งต่ำมากเหมือนไม่ป้องกัน ส่วน 3 เข็มป้องกันได้ 56% และ 4 เข็มป้องกันได้ 84.7% แต่หากป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิต เมื่อฉีดวัคซีน 2 เข็ม 54.8% หากฉีด 3 เข็ม 88.1% แต่กรณีป้องกันการเสียชีวิตพบว่า 2 เข็ม ป้องกันได้สูงถึง 79.2% ส่วนหากฉีดวัคซีน 3 เข็ม จะป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 87%
“การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จึงป้องกันการเสียชีวิตได้มาก ประชาชนอาจมีข้อสงสัยลังเล หรือไม่แน่ใจว่าควรแนะนำฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในผู้สูงอายุหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะหากมีการสื่อสารข้อมูลถูกต้องจะช่วยชีวิตคนได้ แต่หากข้อมูลไม่ถูกต้อง อาจทำให้ขาดโอกาสเข้าถึงวัคซีน และมีร้อยละ 50-60 ของผู้เสียชีวิตที่พลาดโอกาสการรับวัคซีนตรงนี้” นพ.เฉวตสรรกล่าว
นพ.เฉวตสรร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เรื่องความเชื่อที่ว่า ผู้สูงอายุอยู่บ้าน ไม่ไปไหนคงไม่เสี่ยง แต่ความจริง ปัจจุบันติดต่อกันง่ายมาก การอยู่บ้านมีหลายคนเข้าออกตลอด คนที่อยู่บ้านย่อมติดเชื้อได้ อย่างการระบาดระลอกปัจจุบันประมาณ 80% ของผู้เสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ 60% ไม่ได้ฉีดวัคซีน และ 29% ไม่ได้ฉีดเข็มกระตุ้น รวมทั้งข้อสงสัยว่า ญาติอายุมากแล้วฉีดวัคซีนจะอันตรายหรือไม่ ความจริงคือ ไทยฉีดไปแล้วมากกว่า 120 ล้านโดส ยืนยันได้ว่าปลอดภัย ซึ่งหากฉีดแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ ก็มีระบบในการดูแลเช่นกัน
ทางด้าน นพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงแนวทางการให้วัคซีนโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขว่า ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนสะสมแล้ว 127 ล้านโดส ฉีดเข็มที่ 1 แล้วกว่า 54 ล้านคน คิดเป็น 78.9% ส่วนเข็มที่ 2 ฉีดแล้วกว่า 50 ล้านคน คิดเป็น 72.1% ส่วนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นฉีดแล้วกว่า 22 ล้านคน คิดเป็น 32.2% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ทาง ศบค.ให้ความเห็นชอบ
สำหรับผลการให้บริการวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายหลัก อย่างผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยเข็มที่ 1 ฉีดไปแล้ว 10 ล้านคน ส่วนเข็มที่ 2 ฉีดไปแล้วราว 10 ล้านคนเช่นกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการฉีดเข็มกระตุ้น ซึ่งขณะนี้ฉีดไปแล้ว 4.2 ล้านคน ส่วนอีกกลุ่ม เป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็ม 1 ไปประมาณ 1.7 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ในส่วนเข็มกระตุ้นเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมาจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมายหลัก
นพ.วิชาญ กล่าวอีกว่า ล่าสุดจากการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาเรื่องประสิทธิผลของวัคซีน ซึ่งในที่ประชุมมีมติเห็นชอบ และให้คำแนะนำเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยปรับแผนการฉีด ดังนี้
การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประกอบด้วย
-
แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยมีระยะห่างจากเข็มที่ 2 ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทุกสูตร
-
แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 โดยมีระยะห่างจากเข็มที่ 3 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
นพ.วิชาญ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ สามารถฉีดขนาดครึ่งโดส ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์และความสมัครใจของผู้รับวัคซีน ทั้งนี้ มีข้อมูลการศึกษาในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี ว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ไม่มีการศึกษาในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเด็ก
สำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเด็กอายุ 12-17 ปี เป็นคำแนะนำใหม่ โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ให้คำแนะนำเพิ่มว่า ให้เด็กอายุ 12-17 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เข้ารับวัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มที่ 3 ขนาดโดสมาตรฐาน โดยมีระยะห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลาตั้งแต่ 4-6 เดือนขึ้นไป ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำกับองค์การอนามัยโลก และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
โดยการให้วัคซีนโควิด-19 ในผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโควิดแนะนำให้วัคซีนโควิดในผู้ที่มีประวัติติดเชื้อโควิดได้ตามหลักการเดียวกับผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน โดยให้วัคซีนหลังจากการติดเชื้อ เป็นเวลา 3 เดือน
"สรุปแนวทางใหม่ที่เพิ่มขึ้น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้สามารถทำได้ในเด็กอายุ 12-17 ปี ให้มีระยะห่าง 4-6 เดือนขึ้นไป สวนคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นของกระทรวงสาธารณสุข ขอย้ำว่า หากเป็นเข็ม 3 ฉีดได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนเข็ม 4 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป ในทุกสูตรวัคซีนที่กำหนดไว้" นพ.วิชาญ กล่าว
นพ.วิชาญ กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนได้ให้ความสำคัญการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุว่า เพื่อเตรียมความพร้อมเทศกาลสงกรานต์นี้ โดยผู้สูงอายุมีความเสี่ยงการติดเชื้อและเสียชีวิตกว่ากลุ่มอื่น และผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การเร่งรัดการฉีดวัคซีนกลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขและ ศบค. ทั้งนี้ ต้องย้ำว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ 41 เท่า
ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิดเปรียบเทียบปี 2564 และปี 2565 จากประสบการณ์ในปี 2564 หลังสงกรานต์ พบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้น แต่ด้วยปี 64 ข้อจำกัดของวัคซีนเข้ามายังมีน้อย แต่ปี 2565 เราไม่ประมาท จึงต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันและปกป้องผู้สูงอายุ ลูกหลานที่จะเดินทางกลับบ้านขอให้ฉีดวัคซีน และคลีนอัปตัวเองก่อนเดินทางกลับ 1 สัปดาห์
"แผนการเร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุ สธ.ได้กำหนดเป้าหมาย ซึ่งผ่านมติอีโอซี สธ.และของศบค. โดยได้สั่งการไปยัง สสจ.ทุกจังหวัดในการเร่งรัดค้นหาผู้สูงอายุ ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยผู้ที่ถึงกำหนดการฉีดเข็มกระตุ้น ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 70% ก่อนจะถึงสงกรานต์ ซึ่งเราเตรียมวัคซีนไว้ 3 ล้านโดส ซึ่งเราได้มีการร่วมมือกับทุกภาคส่วน" นพ.วิชาญ กล่าว