‘ศาลปกครองสูงสุด’ มีคำสั่ง ‘ยกคำขอ’ พิจารณา ‘คดีคลองด่าน’ ใหม่ ระบุไม่มี ‘ข้อเท็จจริงใหม่’ สั่งให้บังคับตามคำชี้ขาดของ ‘อนุญาโตตุลาการ’ ให้ชดใช้เอกชน 9.6 พันล้านบาท
.................................
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา มีคำสั่งยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลัง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ กรณีสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
คดีนี้ กรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลังได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 28 และวันที่ 22กรกฎาคม 2559 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ อันทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติในคดีที่เคยมีคำพิพากษาของศาลปกครองไปแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ
โดยกล่าวอ้างว่าในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ คดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554 และในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองในคดีศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.285-286/2556หมายเลขแดงที่ อ.487-488/2557 ได้มีการดำเนินคดีทางอาญาที่เกี่ยวพันกับคดีนี้หลายคดี
ได้แก่ คดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 คดีของศาลแขวงดุสิต ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 3501/2552 และคดีของศาลอาญา ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีของศาลอาญามีเอกสารและพยานหลักฐานที่เป็นพยานหลักฐานใหม่ ได้แก่ พยานบุคคลและพยานเอกสารตามรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. บันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ยื่นส่งในชั้นสืบพยาน อันปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงความเชื่อมโยงความทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการทางการเมือง ร่วมกันกับเอกชนที่เอื้อประโยชน์ให้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ที่ดินของบริษัท คลองด่าน มารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด ให้ใช้ในการก่อสร้างโครงการและให้กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ได้รับการคัดเลือกเข้าทำสัญญาโครงการจัดการน้ำเสีย จังหวัดสมุทรปราการ จนทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชน
และสืบเนื่องจากผลของคำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 สำนักงาน ป.ป.ง. จึงมีหนังสือ ที่ ปง 0015.2/807 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ถึงกรมควบคุมมลพิษแจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.148/2559 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 อายัดเงินจำนวน 2 รายการ พร้อมดอกผล ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษต้องชำระให้แก่กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไว้ชั่วคราว
นอกจากนั้น ยังปรากฏความไม่ชอบของคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ที่มีสาเหตุจากการขาดคุณสมบัติในเรื่องความเป็นกลางของ นายเสถียร วงศ์วิเชียร ขณะเป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายเอกชน ทั้งหมดนี้เป็นพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคดีของศาลปกครองเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
กรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลังขอให้ศาลรับคำขอพิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา และให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ เฉพาะในส่วนของกรมควบคุมมลพิษไว้พิจารณา แต่ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ในส่วนของกระทรวงการคลัง โดยศาลเห็นว่ากระทรวงการคลัง ไม่ใช่คู่สัญญาในสัญญาพิพาท และไม่ปรากฏเหตุอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่า จะได้รับผลกระทบจากผลแห่งคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยโดยตรง จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีซึ่งจะมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้
และวินิจฉัยว่า การที่ข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงกระทำการขัดต่อกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ทั้งในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาโครงการ ขั้นตอนการจัดหาที่ดิน ขั้นตอนการประกวดราคา
ทั้งมีการแก้ไขข้อความในร่างสัญญาที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จนมีการลงนามในสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เลขที่ 75/2540 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ผลของการกระทำดังกล่าวเป็นไปในทางที่ทำให้ราชการเสียหาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ดังนั้น การที่กรมควบคุมมลพิษ โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้นได้เข้าทำสัญญาแทน จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำการแทนกรมควบคุมมลพิษ เมื่อสัญญาเกิดจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษ ดังนั้น คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย และดอกเบี้ย ให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 และไม่จำต้องวินิจฉัยข้อพิพาทในประเด็นอื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554
กระทรวงการคลังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดว่า กระทรวงการคลังเป็นบุคคลภายนอก ซึ่งมีส่วนได้เสียและถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้โดยตรง จึงมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ที่ 1 กับพวก ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด ว่า พยานหลักฐานที่กรมควบคุมมลพิษอ้างไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วมีผลเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
บันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลและพยานเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.650 ในคดีของศาลอาญาตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 นั้น มีที่มาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านทราบถึงการมีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการและในศาลปกครองครั้งก่อน เป็นเอกสารราชการที่ผู้คัดค้านทำถึงหน่วยงานราชการอื่นๆ ตลอดจนเอกชนและรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ที่จัดทำขึ้นก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ซึ่งเป็นวันทำสัญญาโครงการ จึงไม่อาจถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ได้
คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ศาลปกครองมีอำนาจรับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกระทรวงการคลังและกรมควบคุมมลพิษไว้ได้หรือไม่
ในส่วนของกระทรวงการคลัง ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อกระทรวงการคลังมิได้เป็นผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีอันมีฐานะเป็นคู่กรณีตามคำพิพากษาศาลปกครอง ตลอดจนมิใช่คู่สัญญาตามสัญญาโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ ฝั่งตะวันออกและตะวันตก เลขที่ 75/2540 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2540
และไม่อยู่ในบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554 และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดีเท่านั้น มิได้มีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะมีผลทำให้เป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีดังกล่าวแต่อย่างใด กระทรวงการคลัง จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
ในส่วนของกรมควบคุมมลพิษ ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 และคำพิพากษาศาลแขวงดุสิต คดีหมายเลขแดงที่ 3501/2552 นั้น กรมควบคุมมลพิษได้เสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อศาลปกครองมาแต่แรกในชั้นการพิจารณาคดีครั้งก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีของศาลแขวงดุสิต ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดง ที่ 3501/2552 ที่กรมควบคุมมลพษิเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกิจการร่วมค้า เอ็นวีพเอสเคจีที่ 1 กับพวกรวม 19 คน เป็นจำเลย ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงในการทำสัญญาโครงการ ย่อมแสดงว่ากรมควบคุมมลพิษต้องมีพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างว่าสัญญาเกิดขึ้นจากการร่วมกันทุจริตทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐและกลุ่มเอกชนที่เกี่ยวข้องอยู่ก่อนแล้ว
แต่กรมควบคุมมลพิษไม่นำเสนอเข้ามาในชั้นอนุญาโตตุลาการ หรือในการยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครอง กรณีจึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้น เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนคดีของศาลอาญาตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 ที่กรมควบคุมมลพิษอ้างเอกสารที่ยื่นส่งในชั้นสืบพยาน และอ้างว่าศาลอาญามีคำพิพากษาว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมควบคุมมลพิษเป็นการกระทำโดยทุจริตและเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มเอกชนคู่สัญญา ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ประกอบการยื่นขอพิจารณาคดีใหม่ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าว เป็นการที่ศาลนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงในสำนวน คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่
ส่วนข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสืบเนื่องมาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2555 ซึ่งกรมควบคุมมลพิษมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตของข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษและการเอื้อประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี จะยื่นข้อเรียกร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546
และพยานหลักฐานที่ศาลอาญาได้รับไว้ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อจัดให้มีการทำสัญญาเลขที่ 75/2540 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ซึ่งก็เป็นเอกสารที่มีขึ้นก่อนเริ่มต้นกระบวนการอนุญาโตตุลาการทั้งสิ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสืบเนื่องมาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2555 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้นในคดีก่อนเช่นกัน
ดังนั้น พยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอาญาของศาลอาญาที่กรมควบคุมมลพิษกล่าวอ้างเพื่อขอพิจารณาคดีใหม่ล้วนมีอยู่ก่อนแล้วในระหว่างการพิจารณาคดีครั้งก่อนทั้งสิ้น จึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้น เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
ส่วนหนังสือ ที่ ปง 0015.2/807 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ถึงกรมควบคุมมลพิษที่แจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.148/2559 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 2 รายการ พร้อมดอกผล ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษ ต้องชำระให้แก่กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจีไว้ชั่วคราวนั้น เป็นการกล่าวอ้างถึงการรับฟังข้อเท็จจริงและผลของคำพิพากษาศาลอาญา หมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเท่านั้น จึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้น เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่อย่างใด
ส่วนที่อ้างในความไม่ชอบของคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอันมีสาเหตุมาจากการขาดคุณสมบัติเรื่องความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนายเสถียรเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่าเรือ กับพวก ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อนุมัติให้แก้ไขสัญญาเช่าพื้นที่เพื่อดำเนินโครงการอู่เรือ บริเวณแหลมฉบัง และแจ้งข้อกล่าวหาให้นายเสถียรทราบในระหว่างกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในคดีนี้แต่อย่างใด
อีกทั้งยังเป็นคนละมูลเหตุพิพาทกับคดีนี้และมิใช่คู่กรณีเดียวกัน จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงซึ่งจะมีผลกระทบต่อความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ ที่จะต้องเปิดเผยตามข้อ 12 ของประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ และไม่ทำให้คุณสมบัติความเป็นกลางของนายเสถียรต้องเสียไป ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545
เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า พยานหลักฐานของกรมควบคุมมลพิษเป็นพยานหลักฐานที่ล้วนมีอยู่ก่อนแล้ว ในระหว่างการพิจารณาคดีครั้งก่อนและกรมควบคุมมลพิษได้รู้ถึงพยานหลักฐานดังกล่าวมาก่อนแล้วทั้งสิ้น และมิใช่กรณีที่คู่กรณีไม่อาจทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาครั้งที่แล้วมาโดยมิใช่ความผิดของผู้นั้น ตามมาตรา 75 วรรคสอง กรณีจึงมิใช่พยานหลกัฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้น เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
และข้อเท็จจริงที่กรมควบคุมมลพิษกล่าวอ้าง มิใช่ข้อเท็จจริงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) (4) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 อันจะเป็นเหตุที่ขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นและประเด็นระยะเวลาการยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งใหม่อีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำสั่งและคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เป็นให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลัง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554
สำหรับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 หมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554 ให้กรมควบคุมมลพิษชำระเงินจำนวน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,034,780 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 4,424,099,982 บาท และจำนวน 26,434,636 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 คน ตามสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย รวมแล้วเป็นเงินกว่า 9,600 ล้านบาท
อ่านประกอบ :
อุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง 3 อดีตบิ๊ก คพ.คดีคลองด่าน-อสส.ยังยื่นฎีกาสู้คดีต่อ
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา! ล้วงเหตุผลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง 3 บิ๊ก คพ.คดีคลองด่าน