ครม.สั่งทบทวนมาตรการอุดหนุนซื้อ ‘จักรยานยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไฟฟ้า-รถกระบะไฟฟ้า’ มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือรายละเอียด พร้อมรับทราบแนวทางส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าไทยเป็นฐานการผลิต ‘EV’
..................................
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 และครั้งที่ 1/2565 เพี่อส่งเสริมให้เกิดการผลิต การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ให้เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ไร้มลพิษ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ของยานยนต์ทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม ครม.ยังไม่ได้อนุมัติมาตรการอุดหนุนการซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์กระบะไฟฟ้า รวมถึงการกำหนดอัตราภาษีต่างๆ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปหารือในรายละเอียดอีกครั้ง และมีบางเรื่องต้องทบทวนใหม่ เช่น การอุดหนุนการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องใช้งบปี 2566 จำนวน 4 หมื่นล้านบาท
“ครม.ได้เห็นชอบแนวทางในภาพรวมแล้ว แต่ในรายละเอียด มีบางประเด็นที่ยังมีข้อแก้ไข ซึ่งต้องไปดูมาใหม่อีกรอบหนึ่ง และนายกฯมอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปพูดคุยกันอีกครั้ง” นายธนกร กล่าว
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า ภายใต้มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าฯ รัฐบาลจะอุดหนุนการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยอุดหนุน 18,000 บาท สำหรับการซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และอุดหนุน 70,000-15,000 บาท สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์นั่งและกระบะ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท รวมถึงจะมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตยานยนต์ไฟฟ้าเหลือ 2% เป็นต้น
นายธนกร ระบุว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าฯ จะมีการทั้งในส่วนของมาตรการทางภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งมีมาตรการเพิ่มเติมอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการผลิต รถยนต์/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
โดยในช่วง 2 ปีแรก หรือปี 2565–2566 มาตรการสนับสนุนฯ จะให้ความสำคัญกับการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างกว้างขวางโดยเร็ว ครอบคลุมทั้งการนำเข้ารถยนต์/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) และกรณีรถยนต์/รถยนต์กระบะ/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (CKD) ผ่านการยกเว้นหรือลดอากรนำเข้า ลดอัตราภาษีสรรพสามิต และ/หรือให้เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มอุปสงค์ยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม สร้างแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของผู้ประกอบการในไทย
ส่วนมาตรการสนับสนุนฯ ในช่วง 2 ปีถัดไป หรือปี 2567-2568 จะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก โดยยกเลิกการยกเว้น/ลดอากรนำเข้า รถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) แต่ยังคงมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิต และ/หรือให้ เงินอุดหนุนตามเงื่อนไขที่กำหนดต่อไป เพื่อทำให้ต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคันที่นำเข้าสูงกว่ารถยนต์/ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รองรับแนวโน้มความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ลดการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งจะเป็นการสนับสนุนการผลิตรถยนต์/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
นายธนกร กล่าวว่า ภายใต้แนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ยังได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการผลิต รถยนต์/รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับ ชิ้นส่วนที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2565 –2568 การให้นับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศสำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มในประเทศ ได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของราคายานยนต์ไฟฟ้าหน้าโรงงาน
การผลิตรถยนต์/ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้าในช่วงแรก เช่น กรณีผลิตชดเชยภายในปี 2567 ให้ผลิตเท่ากับจำนวนที่นำเข้าในปี 2565-2566 และหากจำเป็นต้องขยายเวลา การผลิตชดเชยถึงปี 2568 เป็นต้น และการผลิตหรือใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศตามเงื่อนไขที่กำหนด
“การดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งหวังให้ ราคารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) สามารถแข่งขันได้ และแผน 30@30 โดยปี ค.ศ. 2030 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและครม. ยังเห็นถึงความจำเป็นในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย เพื่อไม่ให้ไทยสูญเสียโอกาส และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะตอกย้ำความเป็น Detroit of Asia ของไทย” นายธนกร ระบุ