ป.ป.ช.ยื่นฟ้อง 'ยิ่งลักษณ์ -นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์-มติชน-สยามสปอร์ต' คดีจัดโรดโชว์ สร้างอนาคตไทย 240 ล้าน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งรับฟ้องหรือไม่ 19 เม.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า เมื่อเวลา 09.30 น. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล , นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ , บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) , บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) , นายระวิ โหลทอง เป็นจำเลยที่ 1-6 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2565
โดยกล่าวหาว่า เมื่อระหว่างปลายเดือน ส.ค.2556 – 21 มี.ค.2557 จำเลยที่ 1-3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 อย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ 4-5 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
กล่าวคือ จำเลยที่ 1-3 กำหนดตัวบุคคลผู้รับจ้างไว้ล่วงหน้าให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับดจ้างจัดทำโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 จำนวน 12 จังหวัด โดยยังไม่ได้คัดเลือกผู้เสนอราคา จำเลยที่ 3 เสนอและจำเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลาง 40 ล้านบาท ทั้งที่มิใช่กรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน
ต่อมาจำเลยที่ 3 เสนอจำเลยที่ 2 อนุมัติหลักการจัดโครงการที่ จ.หนองคาย และนนครราชสีมา ในวงเงินไม่เกิน 40 ล้านบาทโดยวิธีพิเศษ จำเลยที่ 3 ครอบงำจูงใจให้คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษยอมรับการเสนอราคาของจำเลยที่ 4 หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 เสนอและจำเลยที่ 2 อนุมัติจ้างย้อนหลัง
ส่วนโครงการที่เหลือ 10 จังหวัดวงเงินไม่เกิน 200 ล้านบาท จำเลยที่ 3 เสนอจำเลยที่ 2 อนุมัติหลักการ จัดโครงการโดยวิธีพิเศษ ต่อมาจำเลยที่ 2 อนุมัติตามที่จำเลยที่ 3 เสนอให้จ้างจำเลยที่ 4-5 ตามที่ตกลงไว้ล่วงหน้า
ทั้งจำเลยที่ 3 ยังเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอให้มีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวด จำเลยที่ 1-2 ซึ่งอยู่ในที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติด้วย ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้โครงการที่จะเกิดขึ้นตามร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมิอาจเกิดขึ้นได้ โครงการ Roadshow เกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเป็นเงิน 239,700,000 บาท
ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 , 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 , 13 ลงโทษจำเลยที่ 4-3 ในฐานะผู้สนับสนุน
จำเลยที่ 2 , ที่ 3 , ที่ 5 และที่ 6 มาศาล และได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ วันที่ 19 เม.ย.2565 เวลา 09.30 น.
สำหรับกรณีนี้ สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอไปแล้วว่า สาเหตุที่ คณะทำงานร่วมฝ่าย อสส. เห็นสมควรไม่สั่งฟ้องในคดีนี้นั้น มีประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่การพิจารณารายงานผลการตรวจสอบเรื่องนี้ พบว่า ในช่วงหลังจากที่กลุ่มเอกชนประกอบธุรกิจสื่อ ได้ทำหนังสือทวงถามการจ่ายเงินว่าจ้างในโครงการฯ นี้ หลังจากที่จัดงานเสร็จสิ้นแล้ว สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่พลเอก วิลาศ อรุณศรี ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบข้อมูลและอ้างว่าการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามระเบียบพัสดุ จึงมีการจ่ายเงินให้ไป ซึ่งคณะทำงานร่วมฝ่าย อสส. เห็นว่าเป็นข้อมูลสำคัญ และทำให้สำนวนการคดีนี้มีความไม่สมบูรณ์ ก่อนจะมีความเห็นไม่สั่งฟ้องคดีตามมาดังกล่าว
คดีการจัดอีเวนต์โครงการ Roadshow Thailand 2020 วงเงิน 240 ล้านบาทดังกล่าว การชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ
หนึ่ง มอบหมายงานซ้ำซ้อน
กรณีการจัดอีเวนต์ดังกล่าว ดำเนินการตามร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ ฉบับที่ .. พ.ศ. …. วงเงิน 2 ล้านล้านบาท (ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท) โดยดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่แถลงต่อรัฐสภา โดยกล่าวถึงการพัฒนาระบบขนส่งโครงสร้างทางราง โดยเมื่อปี 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการจัดนิทรรศการ และสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยกระทรวงคมนาคมมีการจัดตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดนิทรรศการดังกล่าว เช่น กทม. หนองคาย นครราชสีมา พิษณุโลก เป็นต้น
ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ มอบหมายนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการจัดอีเวนต์เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งของประเทศ ซึ่งซ้ำซ้อนกันกับที่มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการแล้ว
สอง ฮั้วสื่อดำเนินการก่อนประมูล-พฤติการณ์จัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ
ภายหลังนายสุรนันทน์ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว มีการเรียกประชุมเพื่อจัดเตรียมงานอีเวนต์ดังกล่าว โดยมีนายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการทั่วไปบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และตัวแทนบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เข้าพบนายสุรนันทน์ที่ห้องทำงานเลขาธิการนายกฯที่ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อรับทราบและตกลงเป็นผู้รับจัดงานอีเวนต์ดังกล่าว รวม 12 จังหวัด จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท (งบกลางปี 2556 วงเงิน 40 ล้านบาท และงบประมาณทั่วไปปี 2557 วงเงิน 200 ล้านบาท)
ทั้งนี้การจัดอีเวนต์ดังกล่าวมีบริษัท มติชนฯ เป็นแม่งานหลักในการคิดรูปแบบการจัดงาน ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ นอกจากนี้ก่อนเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่จากบริษัท มติชนฯ เข้าพบผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกฯ เพื่อยื่นเอกสารข้อเสนอด้านราคา วงเงิน 40 ล้านบาท แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณยังไม่ได้แจ้งใบงวด ทำให้ยังไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ จึงมีการนัดหมายให้บริษัท มติชนฯ มายื่นเสนอราคาใหม่ โดยวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่บริษัท มติชนฯ มอบเอกสารข้อเสนอด้านราคาวงเงิน 40 ล้านบาทไว้ให้กับผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง
ต่อมานายสุรนันทน์ เห็นชอบราคากลางการจัดอีเวนต์ดังกล่าว วงเงิน 40 ล้านบาท ตรงกันกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัท มติชนฯ ที่ยื่นไว้ และมีการสืบราคาเพิ่มเติมจากสื่ออีก 3 ราย ซึ่งเป็นสื่อในเครือบริษัท มติชนฯ ทั้งสิ้น และวันเดียวกันบริษัท มติชนฯ ยื่นเสนอราคา โดยนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้างบริษัท มติชนฯ เป็นผู้รับจ้างจัดอีเวนต์ดังกล่าว รวม 2 จังหวัด 40 ล้านบาท ตามงบกลางปี 2556 โดยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนลงนามในหนังสือสัญญาสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเป็น 2 วันเท่านั้น
หลังจากนั้นนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ร่วมกันอนุมัติหลักการจัดโครงการอีเวนต์ดังกล่าวในงบปี 2557 วงเงิน 200 ล้านบาท โดยนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ใช้ราคากลางเดียวกับการการดำเนินการครั้งแรกมาดำเนินการในครั้งนี้ แบ่งการจัดจ้างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 5 จังหวัด วงเงิน 100 ล้านบาท บริษัท มติชนฯ เป็นผู้ชนะการเสนอราคา กลุ่มสอง 5 จังหวัด วงเงิน 100 ล้านบาท บริษัท สยามสปอร์ตฯ เป็นผู้ชนะการเสนอราคา (ปรากฏชื่อนายระวิ โหลทอง กรรมการบริษัทฯ ลงนามยื่นเสนอราคา) อย่างไรก็ดีการลงนามในหนังสือสั่งจ้างดังกล่าวดำเนินการก่อนจะได้รับเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ ทั้งที่ส่วนราชการทราบดีว่า การลงนามสั่งจ้างนั้นทำได้ต่อเมื่อสำนักงบประมาณแจ้งจัดสรรเงินงบประมาณมาให้แล้วเท่านั้น
สาม ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ
ทั้งนี้การจัดงานอีเวนต์ดังกล่าว 12 จังหวัด 240 ล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ดังกล่าว เนื่องจากมี ส.ส.ฝ่ายค้าน และนักวิชาการด้านกฎหมายท้วงติงหลายรายว่าอาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ฉบับดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงให้ตกไป ส่งผลให้การจัดงานอีเวนต์เพื่อพีอาร์โครงการตามร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ มิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ทำให้งบประมาณ 240 ล้านบาทเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดนักการเมือง 3 ราย ได้แก่ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2.นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล 3.นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ประกอบ พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2554 (ฉบับที่บังคับใช้ขณะนั้น) มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 12,13
รวมถึงชี้มูลความผิดเอกชน 4 ราย ได้แก่ 1.บริษัท มติชนฯ 2.นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชนฯ 3.บริษัท สยามสปอร์ตฯ และ 4.นายระวิ โหลทอง ฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ประกอบมาตรา 86 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 192 และ พ.ร.บ.ฮั้วฯ มาตรา 4, 12, 13
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งสำนวนการไต่สวน พยานหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดต่อไป
ขณะที่ในช่วงนั้น เว็บไซต์มติชน ได้เผยแพร่ข่าวคำให้สัมภาษณ์ นายฐากูร บุนปาน รองประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นไปโดยบริสุทธิ์ ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบราชการ เช่นเดียวกับการดำนินการอื่นๆ ตามหลักการที่ยึดถือของบริษัทมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของรัฐบาลใด
นอกจากนั้นแล้ว โครงการดังกล่าว ยังได้รับการตรวจสอบจาก คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ซึ่งมีตัวแทนของ ป.ป.ช. และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมอยู่ด้วย ตั้งแต่หลังมีการรัฐประหาร 2557 และใช้เวลาไต่สวนกว่า 18 เดือน และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้อนุมัติให้จ่ายค่าเงินค่าจ้างที่ค้างอยู่ในปี 2559
ทั้งนี้ ในชั้นไต่สวน บริษัทได้ขอชี้แจงในประเด็นดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่ได้รับโอกาสจาก ป.ป.ช. อย่างไรก็ดี บริษัทน้อมรับการตรวจสอบ และแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการต่อไป รวมทั้งขอสงวนสิทธิ์ในทางกฎหมาย ที่จะปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิของตนเองด้วย
ปัจจุบัน นายฐากูร บุนปาน รองประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้เสียชีวิตแล้ว ขณะที่ บมจ.มติชน ยังเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาอยู่
ส่วนการที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องคดีนี้เอง เป็นผลหลังจากคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่ายอัยการสูงสุด (อสส.) และฝ่ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการประชุมพิจารณาสำนวนคดีร่วมกัน แต่ตัวแทนฝ่ายอัยการยังยืนยันว่า สำนวนคดีมีความไม่สมบูรณ์ จึงเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้องคดีตามเดิม พร้อมส่งคืนสำนวนคดีกลับไปให้ ป.ป.ช. ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
อ่านประกอบ :
- เปิดสำนวน ป.ป.ช.เปลือยพฤติการณ์‘บิ๊ก’รบ.ยิ่งลักษณ์ฮั้ว‘2 สื่อดัง’จัดอีเวนต์ 240 ล.
- ย้อนปม รบ.ยิ่งลักษณ์จัดอีเวนต์ 240 ล.ก่อน ป.ป.ช.ชี้มูล‘สุรนันทน์-ปู-นิวัฒน์ธำรง’ฮั้วสื่อ?
- มติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ฟัน‘สุรนันท์’-ข้างมากชี้มูล‘ปู-นิวัฒน์ธำรง-2 บิ๊กสื่อ’ฮั้วจัดอีเวนต์ 240 ล.
- ป.ป.ช.ชี้มูลผิดคดี'บิ๊ก'รบ.ยิ่งลักษณ์ ฮั้ว 2 สื่อใหญ่จัดอีเวนต์ 240 ล.-สัปดาห์หน้าแถลง
- อนุฯ ป.ป.ช.สรุปคดี‘ปู-นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์’ฮั้ว 2 บิ๊กสื่อจัดอีเวนต์ 240 ล.-กก.ชุดใหญ่ชี้ขาด
- ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา ‘ยิ่งลักษณ์-สุรนันท์-นิวัฒน์ธำรง’ พวก 17ราย คดีฮั้วจัดอีเวนต์ 240 ล.
- ประมวล“ข้อสังเกต-คำถาม” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จ้างสื่อใหญ่จัดอีเวนต์ 240 ล.
- เก็บตก!!ข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ"ปชป."ชำแหละงบพีอาร์สร้างชาติ 240ล.
- "สตง."ตั้งทีมติดตามข้อมูล"รบ.ยิ่งลักษณ์"จ้าง"สื่อเอกชน"จัดอีเวนต์ 240 ล.
- พิลึก"รบ."ประกาศราคากลางหลังใช้“วิธีพิเศษ”จ้างอีเวนต์กม.เงินกู้2ล้านล.
- ผู้ว่าฯสุราษฎร์ฯเกณฑ์คนร่วมอีเวนต์กม.เงินกู้2ล้านล.ที่ปชป.ยำใหญ่ในสภา