นายกฯแจ้งข่าวดีคนไทย หลังเยือนซาอุฯ ฟื้นฟูความสัมพันธ์สำเร็จให้อยู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ สิ้นสุด 3 ทศวรรษห่างเหิน ยินดีอย่างยิ่งสร้างโอกาส 9 ด้าน พร้อมกราบบังคมทูลเชิญ ‘มกุฎราชกุมารฯ’ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ม.ค. 2565 ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยที่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีจนนำมาซึ่งความสำเร็จในการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยการเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี และได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ยิ่งใหญ่
โดยบรรยากาศในการหารือ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ทรงให้ความเป็นกันเอง นายกรัฐมนตรียินดีที่การเยือนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดในการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองราชอาณาจักรจะต่อยอด นำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายอย่างรอบด้าน และในทุกระดับ
ในขณะที่การพบปะพูดคุยกับชุมชนไทยและนักศึกษาไทยนั้น เป็นไปด้วยความเป็นกันเอง โดย นายกฯ ได้กล่าวขอให้ทุกคนร่วมกันเดินหน้าสู่ศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ร่วมกัน รัฐบาลต้องการให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่พัฒนาขึ้นนี้ ประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทุกคนที่มาร่วมในวันนี้ถือเป็นมีส่วนสำคัญ เพราะถือเป็นวันประวัติศาสตร์ พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะดูแลคนไทยในซาอุดีอาระเบียทุกคน
“การเดินทางเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ส่งผลให้เกิดโอกาสด้านการค้าการลงทุน แรงงาน การท่องเที่ยวมากมายตามมา นายกฯ ขอบคุณความพยายามและการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกันจนเป็นผลสำเร็จ เห็นได้จากความสำเร็จจากการเยือนที่ผ่านมา โดย นายกฯ ได้สั่งการทันทีให้รัฐมนตรีที่ร่วมเดินทาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการทันทีจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือ และประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญให้เป็นผล และเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป” นายธนกร กล่าว
แจ้งข่าวดีคนไทย สิ้นสุด 3 ทศวรรษห่างเหิน
ขณะเดียวกัน พล.อ. ประยุทธ์ ได้แจ้งข่าวความสำเร็จในฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ระบุว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขอแจ้งข่าวดีต่อปวงชนชาวไทย รวมทั้งชาวซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ให้กลับมาอยู่ใน ‘ระดับปกติ’ อย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่วันนี้สืบไป
ภายใต้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการสิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งความห่างเหิน และเริ่มต้นศักราชใหม่แห่งความร่วมมือ สร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในทุกมิติระหว่างสองประเทศ
โอกาสอันมากมายจากความร่วมมือ 9 ด้าน
ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ “โอกาสอันมากมายมหาศาล” ที่ประเมินว่าทั้งสองประเทศจะได้รับ จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ได้แก่
1. ด้านการท่องเที่ยว : เป็นโอกาสสำหรับการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับประชาชนที่จะมีพลวัตรมากขึ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมนี้อย่างรอบด้าน เบื้องต้น มีการคาดการณ์ว่า การเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่าประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี
2. ด้านพลังงาน : เกิดการร่วมวิจัยและลงทุน ทั้งในรูปแบบพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ค้าและมีแหล่งสำรองน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนมีวิทยาการด้านพลังงานที่ทันสมัย ส่วนไทยก็มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่พร้อมรองรับการวิจัย พัฒนา และการลงทุนแห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย BCG Economy ซึ่งสอดรับกับข้อริเริ่ม Saudi Green Initiative และ Middle East Green Initative ของซาอุดีอาระเบีย
3. ด้านแรงงาน : ไทยมีแรงงานฝีมือและกึ่งฝีมือที่มีศักยภาพจำนวนมาก ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบต่าง ๆ จำนวนมากเช่นกัน โดยช่วงปี 2530 ไทยเคยส่งแรงงานไปซาอุดีอาระเบียมากถึง 300,000 คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศมากกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี บัดนี้ ความร่วมมือและโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้ง โดยแรงงานจากประเทศไทย จะมีส่วนช่วยเติมเต็ม ‘วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030’ (Saudi Vision 2030) ผ่านโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะมีขึ้นเป็นจำนวนมาก
4. ด้านอาหาร : ประเทศไทยนั้นถือเป็น ‘ครัวโลก’ อุดมสมบูรณ์ด้วยผลิตผลทางการเกษตร ผัก ผลไม้ และประมง อีกทั้งมีอาหารที่ทั่วโลกต่างหลงมนต์เสน่ห์ รวมถึงอาหาร “ฮาลาล” ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออกให้แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นำมาซึ่งโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหารของไทย
5. ด้านสุขภาพ : ด้วยความแข็งแกร่งด้านระบบสาธารณสุขของไทย และบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงการให้บริการที่ทุกคนประทับใจ ทำให้ไทยกลายเป็น ‘ศูนย์กลางทางการแพทย์’ (Medical Hub) ที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากภูมิภาคตะวันออกกลางที่เป็น ‘นักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม' นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย โดยผู้ป่วยมักจะเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มักจะซื้อแพคเกจที่รวมการรักษาพยาบาล ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสที่จะเกิดการขยายตัวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความร่วมมือทางการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น
6. ด้านความมั่นคง : ซาอุดีอาระเบียถือเป็นเป็นประเทศอิสลามสายกลาง ที่มีอิทธิพลสูงในกรอบองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) สามารถมีบทบาทช่วยส่งเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน ตามแนวทางสันติสุข นอกจากนั้น ยังสามารถมีความร่วมมือกันด้านข้อมูลข่าวสารความมั่นคง และการต่อต้านการก่อการร้ายอีกด้วย
7. ด้านการศึกษาและศาสนา : ที่ผ่านมานั้น ซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศึกษาด้านศาสนา นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบีย ยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงาน สุขภาพ การวิจัยทางทะเล การก่อสร้าง เทคโนโลยีป้องกันประเทศ และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสขยายการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างกันอีกมาก
8. ด้านการค้าและการลงทุน : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการกลับมาสู่ความสัมพันธ์ในระดับปกติ จะสร้างโอกาสและเปิดประตูทางการค้าให้กับนักลงทุนและ SME ไทย ในการแสวงหาลู่ทางการทำธุรกิจและการแสวงหาหุ้นส่วนทางการค้าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นทั้งในซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศผ่าน ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’ ในด้านพลังงาน นวัตกรรม โทรคมนาคม อวกาศ เทคโนโลยีสีเขียว โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ซึ่งไทยนั้น มีความพร้อมในด้านทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ สถานศึกษา และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ อย่าง EEC พื้นที่ระเบียงเศษฐกิจ และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะในจังหวัดต่างๆ ด้วย
9. ด้านการกีฬา : จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความร่วมมือทางการกีฬาของทั้งสองประเทศ ที่มีความสนใจในการแข่งขันและการกีฬาต่างๆ ร่วมกัน เช่นฟุตบอล มวย กอล์ฟ การแข่งรถ รวมถึง e-sport และอื่นๆ และเป็นโอกาสของไทยในการส่งเสริมมวยไทย ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
‘ชัยชนะ’ สำหรับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
ในวันนี้ ทั้งสองประเทศสามารถก้าวผ่านพ้นอดีต กลับมาสู่อนาคตที่สดใส โดยประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่านี่คือ ‘ชัยชนะ’ สำหรับประชาชนทั้งสองประเทศ ที่รัฐบาลของทั้งคู่ได้ใช้ความพยายามและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนสำเร็จลุล่วงได้ในที่สุด และพร้อมก้าวย่างต่อไปอย่างมั่นคง ขยายจากความร่วมมือทวิภาคี ‘ไทย - ซาอุดีอาระเบีย’ ไปสู่พหุภาคี ‘อาเซียน – คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ’ (Gulf Cooperation Council : GCC)
ต่อจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินงานอย่างไม่ลดละ ที่จะนำเอาความสำเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอีกมากมาย ซึ่งตนจะเร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชน และการฟื้นฟูประเทศหลังโควิดโดยเร็วที่สุด ซึ่งตนจะนำมาเรียนแจ้งในทันทีที่มีความคืบหน้า