เริ่มแล้ว! ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2564 ห้ามบุคคลทุจริตถูกสอบสวนเกี่ยวข้อง กลาโหมประเดิมที่แรกส่งชื่อทหาร 5 หมื่นราย ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อมูลคดีทุจริตก่อนเสนอขอพระราชทาน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สืบเนื่องจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2564 ที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 มีการกำหนดให้บุคคลที่พึงได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้ไม่อยู่ในระหว่างถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรืออยู่ระหว่างพิจารณาโทษทางวินัยหรืออยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยด้วยรวมไปถึงกระทำความผิดและอยู่ระหว่างการไต่สวนตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ส่งผลทำให้หน่วยงานราชการหลายแห่ง เริ่มทำเรื่องส่งรายชื่อบุคคลที่พึงได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบว่าเป็นผู้ที่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบคดีทุจริตหรือไม่จำนวนมาก
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ให้ข้อมูลยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ได้มีการส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่หทารในสังกัดกองทัพ ที่จะมีการเสนอชื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วจำนวนกว่า 5 หมื่นรายชื่อ และคาดว่าจะมีหน่วยงานอื่น ๆ ทยอยส่งเรื่องเข้ามาให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2564 กำหนดให้ใช้บังคับแก่ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์การของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีกฎหมายจัดตั้ง
รวมทั้งบุคคลที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ยกเว้นส่วนราชการในพระองค์ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามระเบียบนี้ ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัยคำวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรีให้ถือเป็นที่สุด
ในข้อ 12 ระบุว่า บุคคลที่พึงได้รับการพิจารณาเสนอ ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้
(1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย
(2) เป็นผู้ประพฤติดี และปฏิบัติงานราชการหรือปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ด้วยความอุตสาหะ ซื่อสัตย์ และเอาใจใส่ต่อหน้าที่อย่างดียิ่ง
(3) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในบัญชีท้ายระเบียบนี้
(4) เป็นผู้ไม่เคยมีพระบรมราชโองการหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เว้นแต่ได้รับพระราชทานคืนในภายหลัง
(5) เป็นผู้ไม่เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
(6) เป็นผู้ที่ไม่อยู่ในระหว่างถูกกล่าวหาว่า
(ก) กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรืออยู่ระหว่างพิจารณาโทษทาวินัย หรืออยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย
(ข) กระทำความผิดทางอาญาและอยู่ระหว่างสอบสวนของพนักงานสอบสวน หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญาในศาล หรือได้มีคำพิพากษาแล้วแต่คดียังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่พนักงาน อัยการรับแก้ต่างคดีนั้น หรือเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือความผิด ที่มีโทษปรับสถานเดียว
(ค) กระทำความผิดและอยู่ระหว่างการไต่สวนตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรืออยู่ระหว่างงการไต่สวนข้อเท็จจริงตามกฎหมายว่าด้วย มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต บุคคลตามวรรคหนึ่งต้องรับรองว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบนี้
(ดูระเบียบฉบับเต็มที่นี่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/245/T_0001.PDF)