‘ศาลปกครองสูงสุด’ พิพากษาให้ ‘กัลฟ์’ ชนะคดี ‘คสช.-คตร.’ กรณีสั่งตรวจสอบกรณีประมูลรับซื้อไฟฟ้าไอพีพี 5,000 MW ให้ ‘ก.พลังงาน’ ยกเลิกหนังสือขอชะลอสนับสนุนการลงทุน-ห้ามยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
...............................
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.99/2560 คดีหมายเลขแดงที่ ล 1197/2564 ซึ่งเป็นคดีที่บริษัท อินดิเพนเดนท์ เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (IPD) ,บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด (GPD) และบริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด (GSRC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ,กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอแนวทางการแก้ปัญหา กรณีการดำเนินการประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดการใช้อำนาจตามกฎหมาย
โดยคำพิพากษาของศาลสูงสุดสรุปว่า การกระทำของกระทรวงพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) เชิญบริษัทฯ (ผู้ฟ้องคดี) เข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กำลังผลิตติดตั้ง 5,000 MW นั้น เป็นการกระทำละเมิดต่อบริษัทฯ และการที่กระทรวงพลังงานมีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้ชะลอการพิจารณาส่งเสริมการลงทุนของบริษัทฯ เป็นการกระทำละเมิดต่อบริษัทฯ
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นห้ามกระทรวงพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสาม (IPD, GPD และ GSRC) โดยให้กระทรวงพลังงานยกเลิกหนังสือ ลับที่ พน 0202/354 ลงวันที่ 12 พ.ค.2558 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้ชะลอการพิจารณาโครงการพิพาท และแจ้งให้สำนักงานบีโอไอทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
รวมทั้งห้ามกระทรวงพลังงาน นำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการประมูลการรับซื้อไฟฟ้าตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ดังกล่าว ไปใช้เจรจากับผู้ฟ้องคดีทั้งสาม เพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของผู้ฟ้องคดีที่สอง (บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด) ตามสัญญาเลขที่ พีพีเอ/ไอพีพี-2556/003 ลงวันที่ 23 ธ.ค.2556 นอกจากที่แก้แล้ว ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ด้าน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่บริษัท อินดิเพนเดนท์ เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (IPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 70 ได้เข้าร่วมประมูลคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ประจำปี 2555 (โครงการ IPP) ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า ติดตั้ง 5,300 เมกะวัตต์ และเป็นผู้ชนะการประมูล
โดย IPD ได้ดำเนินการให้ บริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด (GSRC) และ บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด (GPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ IPD ถือหุ้นทั้งหมด เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้มีมติให้ กกพ. เข้าตรวจสอบผลการประมูลของโครงการ IPP เนื่องจากมีการร้องเรียนว่าขั้นตอนการประมูลคัดเลือกโครงการ IPP ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ระเบียบของ กกพ. และเอกสารข้อกำหนดในการเสนอราคา (RFP)
ในการนี้ กกพ. ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานผล รวมถึงส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ คตร. ทราบ ซึ่งต่อมา คตร. ได้มอบหมายให้ กระทรวงพลังงานดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำนินการประมูลโครงการ IPP และได้เชิญบริษัทฯเข้าประชุม เพื่อขอเจรจายกเลิกโครงการโรงไฟฟ้า GPD ที่ชนะการประมูลและได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แล้ว
อีกทั้งยังได้มีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (คณะกรรมการ BOI) ให้ชะลอการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของโครงการโรงไฟฟ้าของ GSRC และ GPD ที่ชนะการประมูลทั้งสองโครงการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ก.ค.2558 ทาง IPD GSRC และ GPD (รวมเรียกว่า ‘ผู้ฟ้องคดี’) ได้ยื่นฟ้อง กกพ. , สกพ.กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ (รวมเรียกว่า ‘ผู้ถูกฟ้องคดี’) ต่อศาลปกครองกลาง เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การตรวจสอบการประมูลคัดเลือกโครงการ IPP ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย และข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการตรวจสอบพิจารณานั้นเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนจากความจริง การตรวจสอบดังกล่าวทำให้ผู้ฟ้องคดี ได้รับความเสียหายจากการที่มีอุปสรรคไม่สามารถดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปได้
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตรวจสอบ หรือนำผลการตรวจสอบการประมูลโครงการ IPP ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นไปใช้หรืออ้างอิง
ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค.2559 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจดำเนินการตรวจสอบตาม กฎหมาย แต่ได้กระทำนอกเหนือเกินขอบเขตอำนาจในการใช้ผลการตรวจสอบดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความ เสียหาย และให้กระทรวงพลังงานแจ้งยกเลิกหนังสือที่ส่งไปถึงคณะกรรมการ BOI เกี่ยวกับการชะลอการพิจารณาอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน และเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2560 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนแก่ ผู้ฟ้องคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2560 กระทรวงพลังงานได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เนื่องจากกระทรวงพลังงานเห็นว่าการกระทำของกระทรวงพลังงานไม่ได้เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 20 มิ.ย.2560
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2564 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาว่า การกระทำของกระทรวงพลังงานทั้งในส่วนของการส่งหนังสือถึงคณะกรรมการ BOI หรือการเรียกผู้ฟ้องคดีเข้าไปเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้นเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย
ดังนั้น ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาให้กระทรวงพลังงานยกเลิกหนังสือของกระทรวงพลังงานที่มีถึงสำนักงานคณะกรรมการ BOI ในการให้ชะลอการสนับสนุน การส่งเสริมการลงทุนของโครงการของผู้ฟ้องคดี และให้กระทรวงพลังงานแจ้งสำนักงานคณะกรรมการ BOI ทราบ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา รวมถึงห้ามกระทรวงพลังงานนำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการประมูลการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการดังกล่าวไปใช้เจรจากับผู้ฟ้องคดี เพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีกต่อไป ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวถือเป็นที่สุด
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า สำหรับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) แต่งตั้งโดยคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)