สถานการณ์โควิดไทย ล่าสุด 8 ต.ค.64 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,140 ราย และยอดตรวจ ATK พบผลบวกยังสูง 5,225 ราย หายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 9,933 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 110,113 เสียชีวิตอีก 116 คน ด้าน ศบค.โต้ข่าวปลอมฉีดวัคซีน mRNA เสี่ยงเสียชีวิตใน 2 ปี พร้อมเคาะมาตรการเข้มขึ้นเครื่องบิน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2564 นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โควิดประจำวัน พบผู้ป่วยรายใหม่ 11,140 ราย ติดเชื้อในประเทศ 11,052 ราย มาจากระบบบริการ 10,080 ราย เกิดจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 972 ราย ติดเชื้อในเรือนจำ 72 ราย และอีก 16 รายเดินทางกลับจากต่างประเทศ ทำให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 1,689,437 ราย และมีผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (ATK) จำนวน 5,225 ราย
ขณะที่มีผู้หายป่วย 9,933 ราย ทำให้มีผู้หายป่วยสะสม 1,561,790 ราย กำลังรักษาตัวอยู่ 110,113 ราย โดยเป็นผู้ป่วยอาการหนัก 3,003 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 682 ราย และมีผู้เสียชีวิต 116 ราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 17,534 ราย
โดยมีผู้เสียชีวิต 116 ราย มาจากกทม.และปริมณฑล 42 ราย 4 จังหวัดภาคใต้ 19 ราย จังหวัดอื่น 54 ราย และเรือนจำ 1 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 93 ราย คิดเป็น 80% และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง 18 ราย คิดเป็น 16% ซึ่งหากรวมกันพบมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 96% และมีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มาจากในครอบครัว คนรู้จัก อาศัยหรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่ระบาด และมีอาชีพเสี่ยง
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่ 10 จังหวัดอันดับสูงสุด ประกอบด้วย กทม. 1,255 ราย ยะลา 776 ราย ชลบุรี 687 ราย นราธิวาส 592 ราย สมุทรปราการ 576 ราย ปัตตานี 503 ราย สงขลา 444 ราย นครศรีธรรมราช 395 ราย ระยอง 342 ราย และจันทบุรี 284 ราย
ด้านผู้ป่วยรายใหม่ที่เดินทางมาจากจากต่างประเทศ ทั้งหมด 16 ราย แบ่งเป็น สิงคโปร์ 1 ราย อิสราเอล 1 ราย กาตาร์ 1 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย ลักแซมเบิร์ก 1 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย กัมพูชา 7 ราย และเมียนมา 3 ราย
นอกจากนั้น มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกเพิ่ม 413,804 ราย เข็มที่ 2 เพิ่ม 454,491 ราย และเข็มที่ 3 เพิ่ม 43,382 ราย รวมสะสม 58,298,700 โดส แบ่งเป็น ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 34,188,488 ราย คิดเป็น 47.5% ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 22,460,213 ราย คิดเป็น 31.2% และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 จำนวน 1,649,999 ราย คิดเป็น 2.3%
13 จว.ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 50%
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงความครอบคลุมการฉีดวัคซีนด้วยว่า ขณะนี้มีจังหวัดที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรตั้งแต่ 50% จำนวน 13 จังหวัด ประกอบด้วย กทม. ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ นนทบุรี อยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก เพชรบุรี พังงา ภูเก็ต และระนอง
โดยมีจังหวัดที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 70% จำนวน 9 จังหวัด กทม. ปทุมธานี สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พังงา ภูเก็ต ระนอง และสุราษฎร์ธานี
ปชช.ทั่วไป-หญิงตั้งครรภ์ ฉีดวัคซีนเข็มแรกครอบคลุมต่ำกว่า 50%
สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีน แยกตามกลุ่มเป้าหมาย นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า พบบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 123.6% เข็มที่ 2 ได้ 119% และเข็มที่ 3 ได้ 90.5%
เจ้าหน้าที่ด่านหน้า ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 62.4% เข็มที่ 2 ได้ 54.6% และเข็มที่ 3 ได้ 8.2%
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 72.7% เข็มที่ 2 ได้ 62.8% และเข็มที่ 3 ได้ 7%
ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 62.4% เข็มที่ 2 ได้ 42.3% และเข็มที่ 3 ได้ 1.5%
ประชาชนทั่วไป ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 44.9% เข็มที่ 2 ได้ 27.2% และเข็มที่ 3 ได้ 1.4%
ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 59.5% เข็มที่ 2 ได้ 42.6% และเข็มที่ 3 ได้ 0.3%
หญิงตั้งครรภ์ ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 14% เข็มที่ 2 ได้ 9.3% และเข็มที่ 3 ได้ 0.1%
และนักเรียน นักศึกษาอายุ 12-17 ปี ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ได้ 3.3%
ศบค.โต้ข่าวปลอม ฉีด mRNA เสี่ยงเสียชีวิตใน 2 ปี
นพ.เฉวตสรร กล่าวชี้แจงข่าวในโซเชียลที่ระบุว่า เมื่อฉีดวัคซีน mRNA ไปแล้วจะมีผลต่อสุขภาพในช่วง 1-2 ปีหลังจากฉีดวัคซีน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากประเทศผู้ผลิตฉีดไปจำนวนมาก ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดอันตราย มีการศึกษา ตรวจสอบเอกสาร ขอประชาชน อย่าเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอให้ติดตามข้อมูลจากทางการ
ส่วนกรณีมีนักเรียนมาฉีดวัคซีนแล้วกลับไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากวัคซีนไม่เพียงพอ เนื่องจากการมีการจัดส่งวัคซีนล็อตแรกจำนวน 1.8 ล้านโดส แต่มีนักเรียนแจ้งความประสงค์ต้องการฉีด 3.6 ล้านราย เมื่อกระจายวัคซีนลงไปในพื้นที่แล้วจะมีการทยอยฉีดตามแผน ตามความพร้อม และตามความเหมาะสม ทำให้ไม่อาจฉีดพร้อมกันได้ทั้งหมดภายในระยะเวลา 1-2 วัน
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ได้กระจายไปอีก 1.5 ล้านโดส ยืนยันวัคซีนมีเพียงพอ ขอให้ประชาชนมั่นใจ
ทั้งนี้อัตราการฉีดวัคซีนไม่ใช่เงื่อนไขการกลับมาเปิดการเรียนการสอน ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียนจะปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้หรือไม่ เป็นการบริหารจัดการในพื้นที่ เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และมาตรการควบคุมโรค และบุคลากรในโรงเรียนต้องฉีดวัคซีนให้ได้เกือบ 100%
ศบค.พบ 30 คลัสเตอร์งานศพ
นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า ในช่วงวันที่ 21 ก.ย.-7 ต.ค.2564 พบการติดเชื้อในกลุ่มผู้เข้าร่วมงานศพ มีผู้ติดเชื้อ 838 ราย ใน 30 จังหวัด 87 งาน 30 คลัสเตอร์
โดยคลัสเตอร์ที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด คือ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พบผู้ติดเชื้อ 148 ราย สำกรับปัจจัยหลักในการติดเชื้อ คือ การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อยืนยันรายก่อนหน้า ไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการรับประทานอาหารร่วมกัน มีการดื่มสุรา และเล่นการพนันหลังงานศพ เพราะฉะนั้นใครที่เป็นผู้ติดเชื้อต้องหายป่วยดีแล้วถึงไปได้ และสำหรับผู้ที่ไปร่วมงานศพ ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
นอกจากคลัสเตอร์งานศพ ยังพบคลัสเตอร์ในจังหวัดต่างๆ อาทิ ล้งผลไม้ ร้านทำป้าย จ.จันทบุรี วงหมูกระทะที่ จ.ลำปาง หอพักที่ จ.เชียงใหม่ ร้านเบเกอรี่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ย้ำอย่าการ์ดตก หวั่นติดเชื้อพุ่ง 2.5-3 หมื่นราย
ส่วนกรณียอดผู้ติดเชื้อกลับมาแตะหลักหมื่นรายแล้วในช่วง 2 วันที่ผ่านมา นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ขณะนี้เรามาถึงทางแยก เพราะผลของการล็อกดาวน์น่าจะหมดแล้ว ถ้าเราไม่มีมาตรการดีพอ แนวโน้มการติดเชื้อบนกราฟอาจเพิ่มสูง อาจจะไปถึงวันละ 25,000 - 30,000 รายได้
แต่หากเราปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข คือ ฉีดวัคซีนได้กว้างขวาง มีการป้องกันตัวแบบสูงสุด (Universal Prevention) ตลอดเวลา และมีการตรวจหาเชื้อด้วย ATK เมื่อรับรู้ว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้ตนเองรู้และปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม หากทำได้ทั้งหมดแนวโน้มผู้ติดเชื้ออาจลดลงได้ถึง 5,000 รายได้
เคาะมาตรการเข้มขึ้นเครื่องบิน
สำหรับผู้ที่จะใช้บริการสายการบิน นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า เมื่อเช้านี้ในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศปก.ศบค.) เห็นชอบปรับมาตรการเดินทางด้วยเครื่องบินให้เดินทางได้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือเป็นผู้ที่มีผลตรวจไม่พบเชื้อใน 72 ชั่วโมง
โดยสิ่งสำคัญในการตรวจความพร้อมเหล่านี้ หากมีความไม่พร้อมหรือตรวจพบข้อห้ามต่างๆ เช่น มีไข้ หรือไม่เข้าหลักเกณฑ์จะมีเงื่อนไขในการไม่ให้เข้าใช้ในพื้นที่ ดังนั้นประชาชนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ต้องดูแลสุขภาพตัวเอง หากเจ็บป่วยต้องหลีกเลี่ยงที่จะไม่เดินทางหรือไม่ไปในสถานที่ที่ไม่ควร เช่น สนามบินเพื่อเดินทาง
ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ในเรื่องของความเข้มงวดในการที่จะไม่ให้เดินไปมาบนเครื่องบิน ปรับระบบการระบายอากาศ จัดที่นั่งให้ถูกต้อง ไม่เสิร์ฟเครื่องดื่มอาหารบนเครื่องบิน การลำเลียงคนไปขึ้นเครื่อง หรือลงจากเครื่องเข้าพื้นที่ ต้องมีระยะห่างไม่หนาแน่น จะต้องดำเนินการไปอย่างเข้มงวด
ไทยขยับขึ้นอันดับที่ 26 ของโลก
ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม 461,091 ราย รวม 237,545,619 ราย อาการหนัก 84.215 ราย หายป่วย 214,633,110 ราย เสียชีวิต 4,849,332 ราย โดยสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยเพิ่ม 102,090 ราย รวม 45,021,267 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1,709 ราย รวม 730,206 ราย อินเดีย พบเพิ่ม 21,463 ราย รวม 33,914,465 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 277 ราย รวม 450,160 ราย บราซิล พบเพิ่ม 15,044 ราย รวม 21,532,558 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 451 ราย รวม 599,865 ราย ส่วนไทขยับขึ้นนอันดับที่ 26 ของโลก
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage