ป.ป.ช.ชี้มูล จนท.ที่ดิน โคราช พ่วง บ.ไทยน็อคซ์ สเตนเลสฯ คดีออกเอกสารสิทธิเขตป่าสงวน-ส.ป.ก. ทำสนามกอล์ฟ เมาน์เทน ครีกฯ มิชอบ มีชื่อ ‘ประยุทธ มหากิจศิริ’ เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ด้าน ‘ประพันธ์ คูณมี’ ทนายแจงผ่านรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทยฯ’ ยันไม่ได้โดนนามส่วนตัว หน่วยงานมาสอบหลายครั้ง-รังวัดคลาดเคลื่อน
.............................................................
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันอ้างถึงรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณากรณีกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตเกี่ยวกับการออกโฉนดในเขตที่ดินของรัฐ เป็นเขตป่าสงวนและเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) โดยมิชอบ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดผู้เจ้าพนักงานที่ดินนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว กับพวก ประมาณ 5-6 ราย อาทิ หัวหน้าฝ่ายรังวัด ช่างรังวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกลุ่มบริษัทเอกชน คือ บริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลสฯ โดยมีชื่อของนายประยุทธ มหากิจศิริ นักธุรกิจชื่อดัง ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาถูกชี้มูลด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พบพฤติการณ์ว่า กลุ่มเอกชนได้ให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐสอบเขตขยายเนื้อที่ของโฉนดที่ดิน เพื่อนำมาสร้างสนามกอล์ฟ เมาน์เทน ครีก กอล์ฟ แอนด์รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ นครราชสีมา ถือเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ทั้งนี้จากการไต่สวนพบว่า กลุ่มเอกชนได้ไปซื้อที่ดินที่ที่มีโฉนด และซื้อที่ดินที่ไม่มีหลักฐานก่อนจะนำมาสอบเขต เพื่อนำที่ดินที่ไม่มีหลักฐานนั้นเข้าไปรวมด้วย ที่ดินที่ไม่มีหลักฐานมีทั้งอยู่ในเขต ส.ป.ก.และเขตป่าสงวนเพื่อนำไปจัดทำสนามกอล์ฟดังกล่าว ถือว่าร่วมกันการกระทำความผิด แต่เนื่องจากเอกชนไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จึงถูกชี้มูลความผิดตามมาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และมีบางรายโดนมาตรา 149 ด้วย รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ ในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐถูกชี้มูลความผิดตามมาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 149 และมีความผิดวินัยร้ายแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 กำหนดอัตราโทษระบุให้จำคุก 5-20ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และระวางโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ส่วนอัตราโทษตามมาตรา 151 จำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนอัตราโทษตามมาตรา 157 จำคุก 1-10 ปี โดยจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อฟ้องคดีต่อศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบภาค 3 และส่งให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป (อ้างอิงข้อมูลจาก ไทยโพสต์ออนไลน์ : https://www.thaipost.net/main/detail/111646)
@ทนายแจงละเอียดยิบ‘ประยุทธ’ไม่ได้โดนนามส่วนตัว
เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 นายประพันธ์ คูณมี ในฐานะทนายความของนายประยุทธ มหากิจศิริ ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่กรณีที่ว่านายประยุทธ มหากิจศิริ ไปครอบครองป่าสงวน หรือบุกรุกที่ป่าแล้วนำไปออกโฉนดเพื่อจะมาทำสนามกอล์ฟ หรือไปยึดที่หลวงเพื่อเอามาออกโฉนดเล่นแร่แปรธาตุแล้วมาทำสนามกอล์ฟ ที่ดินที่ซื้อมาทำสนามกอล์ฟนี้ไม่ได้ซื้อในนามส่วนตัวของนายประยุทธ แต่ซื้อในนามบริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลสฯ ที่เป็นเจ้าของ สนามกอล์ฟเมาน์เทน ครีก กอล์ฟ แอนด์รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ นครราชสีมา โดยเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่ดินทั้งหมด 2,300 ไร่นี้เป็นที่ดินมีโฉนด และมีนส. 3 อยู่แล้ว เป็นที่ดินของสมาคมม้าแข่งแห่งประเทศไทย 1,200 กว่าไร่ โดยสมาคมไปซื้อต่อมาจากชาวบ้านมีโฉนดตั้งแต่ปี 2517 ซื้อขายต่อกันมา สมาคมนำไปจำนองธนาคารปี 2540 ที่ดินเหล่านี้ถูกยึดไปอยู่ในธนาคาร ในบริหารสินทรัพย์ แล้วบริษัทไทยน๊อก จึงไปซื้อต่อมาโดยไม่ได้ไปรุกที่ป่า ทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนดเกือบทั้งหมด และนส.3บางส่วน
นายประพันธ์ กล่าวว่า ปัญหาของเรื่องไม่ใช่ว่าเป็นการบุกรุกที่ป่า แต่เป็นเรื่องที่ซื้อมาแล้วต้องการมาพัฒนาทำเป็นสนามกอล์ฟ จึงต้องมีการแบ่งแปลง มีการรังวัด สอบเขต มีการรวมโฉนด เพื่อสร้างสนามกอล์ฟ เส้นทางสาธารณะ จัดสรรเป็นหมู่บ้าน เพื่อขายทำเป็นรีสอร์ท อย่างไรก็ตาม คดีนี้เกิดจากมีการรังวัดสอบเขตหรือแบ่งแยกที่ดินของผู้ซื้อ แต่ต่อมามีการกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานที่ดินที่ไปรังวัด สอบเขตแบ่งแยกให้นั้น ปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่ออกโฉนดให้กับบริษัท เพราะมีที่ดินอยู่ในเขตปฏิรูป หรือป่าสงวนบางส่วนเข้ามาอยู่ในโฉนดที่ดิน บางแปลงมีที่ดินเพิ่มขึ้น บางแปลงมีที่ดินลดลง ซึ่งส่วนที่มีเพิ่มขึ้นนั้น ประมาณไม่เกิน 100 ไร่
@เผยหน่วยงานมาสอบหลายครั้ง-รังวัดคลาดเคลื่อน
นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องดังกล่าวถูกตรวจสอบมาหลายครั้ง มีทั้งกรมป่าไม้ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อสอบสวนว่าที่ดินที่งอกออกมานั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ และรุกป่าเลย เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่พบ พบเพียงส่วนเกินเข้าไปในที่ดินปฏิรูปหรือป่าสงวนเพียง 1 ไร่เศษ ทางหน่วยตรวจสอบจึงเสนอไปกรมที่ดินว่าในส่วนที่เกินที่เกิดจากการรังวัดพลาดเคลื่อนนั้นให้กรมที่ดินมีคำสั่งมีหนังสือให้มีการเพิกถอนและแก้ไขสิทธิ จึงมีหนังสือแก้ไขโฉนดมาแต่บริษัทเห็นว่าซื้อมาโดยชอบ เจ้าของที่ดินข้างเคียง อบต. อบจ. นายอำเภอรับรองถูกต้องหมดเมื่อครั้งรังวัดแนวเขต จดทะเบียนจ่ายเงินซื้อจากโฉนด จะมาถอนที่ดินคงไม่ถูกต้อง จึงไปฟ้องศาลปกครองขอเพิกถอนคำสั่งของกรมที่ดิน ต่อมามีผู้ไปร้องเรียนยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อป.ป.ช. มาตรวจสอบ อธิบดีกรมที่ดินได้ทำหนังสือมาถึงเรา และหน่วยงานราชการปราบทุจริตด้วยว่าตรวจสอบการออกเอกสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดของทั้งโครงการนี้แล้ว ที่น่าจะมีปัญหารางวัดคลาดเคลื่อนในพื้นที่นี้ผิดไปหรือล้ำไปในที่ป่าสงวนหรือที่ปฏิรูปที่ดินทั้งหมดมีเพียง 4 แปลง ประมาณ 70-80 ไร่ เราก็ต้องสู้ตามข้อกฎหมายไปอย่างเต็มที่ ไม่มีปัญหา ยืนยันว่าสนามกอล์ฟไม่ได้ไปรุกที่ป่า ซื้อมาโดยถูกต้องเป็นโฉนดตรวจสอบได้ ทั้งนี้ สำหรับคดีใน ป.ป.ช.เป็นร้องเรียนเจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดิน ช่างรังวัด ว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะแจ้งข้อกล่าวหาพนักงานที่ดินปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และนายประยุทธฐานสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ ทางบริษัทจึงคิดว่าเกี่ยวเนื่องมาจากคดีที่อยู่ศาลปกครองจึงได้ไปถอนฟ้อง และทำหนังสือยืนยันไปว่าหากที่ดินส่วนไหนรุกที่ป่าก็ยินยอมคืนให้
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายประยุทธ มหากิจศิริ จาก https://forbesthailand.com/, ภาพสำนักงาน ป.ป.ช. จาก https://storage.thaipost.net/
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage