สธ.ร่วมมือ กทม.ส่ง 260 ทีมช่วยเหลือชุมชนสู้โควิด เผยกทม.ฉีดวัคซีนได้ 5.6 ล้านโดส เป็นไปตามเป้า ขออภัยเหตุศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อแออัด ชี้ปรับแผนให้ลงทะเบียนล่วงหน้า ไม่รับวอล์กอิน พร้อมชวนปชช.ร่วมฉีดวัคซีน เคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล แก้ปัญหาเตียงล้น หากทำได้ 2-4 สัปดาห์จะดีขึ้น
.....................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2564 กระทรวงสาธารณสุขได้จัดแถลงรายงานการบริหารจัดการวัคซีนในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาค โดย นพ.โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวสรุปสถานการณ์การระบาดภายในประเทศว่า จุดศูนย์กลางของการระบาดอยู่ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งขณะนี้ได้มีการเคลื่อนย้ายของผู้ติดเชื้อไปยังต่างจังหวัด ทำให้แนวโน้มการระบาดมีการระจายตัวไปยังต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการระบาดของ กทม.เพิ่มสูงขึ้นตามการระบาดในภาพรวมของประเทศ เพราะฉะนั้นการทำงานร่วมกันจากหลายภาคส่วนจึงมีความสำคัญมากในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ให้ความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการสนับสนุนวัคซีน และการสนับสนุนกำลังพลลงทีม CCRT (Comprehensive Covid-19 Response Team) เพื่อช่วยค้นหาผู้ป่วยในชุมชน ฉีดวัคซีน และให้ความรู้ในกลุ่มที่เข้าถึงยาก โดยขณะนี้ กทม.ฉีดวัคซีนเข็มแรกได้ครอบคลุมประชากรทั้งหมด 5,668,720 โดส คิดเป็น 60.31% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่เราได้กำหนดเอาไวว่าจะฉีดวัคซีนให้ได้ 5 ล้านโดสในสิ้นเดือนนี้ ทั้งนี้ยังฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมผู้สูงอายุเกือบ 80% อีกด้วย
นอกจากนั้นยังสนับสนุนในการเพิ่มจุดตรวจคัดกรองโควิด 2 จุด คือ สนามกีฬากองทัพธูปเตมีย์ และสนามราชมังคลากีฬาสถาน และส่งผู้ทรงคุณวุฒิจากกรมควบคุมโรคไปเป็นที่ปรึกษาในการสอบสวนและเฝ้าระวังทุกกลุ่มเขตด้วย
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับการสุ่มตรวจประชาชนในกทม.ทั้ง 50 เขต จำนวน 1,500 ราย ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ค.2564 พบว่ามีประชาชนฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มแล้ว 76.5% ซึ่งสอดคล้องกับการผลการดำเนินงานที่ผ่านมาที่พบว่า ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 47.3% ซิโนแวค 28.3% และยังไม่ได้ฉีด 23.5% นอกจากนั้นยังพบอีกว่า ในบ้านที่มีผู้สูงอายุ 65.7% ในกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนแล้ว 79.92%
@ สธ.ผนึก กทม. ส่ง 260 ทีม ช่วยชุมชนสู้โควิด
ด้าน พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กล่าวถึงแผนการบริหารจัดการวัคซีนของ กทม.ว่า กทม.ได้วางแผนให้สอดคล้องกับนโยบายของ สธ. โดยเน้นการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี, ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้ครอบคลุมตามเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้กลุ่มดังกล่าวภายในสิ้นเดือนนี้ 70% ซึ่งเรากำลังเร่งดำเนินการอยู่ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลทุกสังกัด 132 โรงพยาบาล, การดำเนินการควบคุมโรคกับชุมชนหลายแห่ง, หน่วยความร่วมมือ 25 แห่ง รวบกับหอการค้าไทย และ CCRT
พญ.ป่านฤดี กล่าวถึงการดำเนินงานของ CCRT ว่า กทม.ได้ตั้งเป้าลงพื้นที่ตรวจคัดกรองเชิงรุกชุมชนจำนวน 2,016 ชุมชนที่มีการจัดตั้งทั่วกรุงเทพ ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ โดยมีทีมหลักและทีมสนับสนุนรวมทั้งหมด 8 ภาคีเครือข่าย จำนวน 260 ทีม ร่วมกันดำเนินงาน โดยปัจจุบันสามารถฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 4,000-6,000 รายต่อวัน รวมสะสมฉีดวัคซีนได้ 59,708 ราย ขณะที่ตรวจคัดกรองเชิงรุกได้รวม 13,303 ราย พบติดเชื้อ 1,618 ราย คิดอัตราการติดเชื้อ 8-10% ซึ่งหลังจากนี้จะมีแผนการดำเนินงานลงพื้นที่ไปยังชุมชนที่ไม่ได้มีการจัดตั้งต่อไป
สำหรับการฉีดวัคซีน 25 จุด ของกทม. จะเน้นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก และที่เหลือจะให้ผู้ที่ลงทะเบียนในไทยร่วมใจที่ยังมีค้างอยู่ให้มารับวัคซีน เพื่อเพิ่มการฉีดให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนไว้แล้วด้วย อย่างไรก็ตามการวอล์กอินยังมีความเป็นห่วง เนื่องจากห้างสรรพสินค้าเองหรือสถานที่ต่างๆกังวลเรื่องความแออัด จึงขอให้เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ส่วนผลการดำเนินการ 25 จุด ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.2564 ฉีดไปแล้ว 2.7 แสนราย ผู้สูงอายุ 8 หมื่นกว่า และประชาชนที่ลงไว้ 1.8 แสนราย เพราะฉะนั้นวัคซีนที่ สธ.ให้มา 5 แสน เราได้ตัดให้ทีม CCRT 5 หมื่นโดส ที่เหลือ 4.5 แสนโดสจะเร่งฉีดให้ได้ประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุดจนกว่าวัคซีนที่ได้รับมาจะหมด
@ ขออภัยปชช. จุดฉีดวัคซีนบางซื่อแออัด ปรับใหม่ให้จองคิวล่วงหน้า
ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงความแออัดของศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ พร้อมขออภัย 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ) การเปิดให้วอล์กอินฉีดวัคซีนของกลุ่ม 602 ได้แก่ ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป แต่มีผู้มาใช้บริการมีจำนวนเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถจัดเวลาไม่ได้ จึงเกิดภาพแออัดที่มีการเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดียและก่อให้เกิดความไม่สบายใจหลายฝ่าย และ 2. ) การเปิดให้บริการลงทะเบียนที่ปรับเปลี่ยนเวลากระทันหันจาก 9 โมงไปเป็น 11 โมงในวันนี้
สำหรับศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อได้เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.2564 โดยเริ่มทดลองระบบกับบุคลากรกระทรวงคมนาคม ได้แก่ กลุ่มคนขับรถสาธารณสุข ต่อมาในวันที่ 5 ก.ค.2564 ได้เริ่มเปิดให้คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งพบความหนาแน่นของประชาชน ในวันที่ 12 ก.ค.2564 จึงได้ปรับวอล์กอินเฉพาะคนอายุ 75 ปีขึ้นไป เพื่อลดจำนวนคนมาฉีดวัคซีนลง เมื่อฉีดไปได้ค่อนข้างมากแล้ว ในวันที่ 22 ก.ค.2564 จึงเปิดให้กลุ่ม 602 ได้รับวัคซีน พร้อมยืนยันว่าเราได้พยายามปรับระบบการฉีดวัคซีนเพื่อแก้ไขความแออัดมาตลอด ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2564 เป็นตั้นไป เพื่อให้การบริการเป็นระบบมากขึ้น จะไม่มีการวอล์กอินแต่จะเปลี่ยนมาให้ลงทะเบียนแทน เพื่อให้เราสามารถทราบว่ามีผู้ลงทะเบียนเท่าใด และเต็มจำนวนแล้วหรือไม่
ล่าสุดได้ดำเนินมาตรการลดความแออัดเพิ่ม 6 แนวทาง ดังนี้
1.เปิดประตูศูนย์ฉีดกลางบางซื่อเร็วขึ้น และให้ผู้รับบริการผ่านโดยไม่ต้องวัดความดัน ยกเว้นกลุ่มผู้ที่มีความกังวลใจและมีปัญหาด้านดังกล่าวจริง ๆ ทั้งนี้ หากสังเกตที่ผ่านมาจะมีความหนาแน่นของจำนวนประชากร เฉพาะเวลาก่อน 08.00 น. หลังจากนั้นจะเบาบางลง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะช่วยระบายประชาชนจากด้านนอก เข้าสู่ด้านในอาคารมากขึ้น
2.ปรับระบบการเข้าแถวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ให้หางแถวในแต่ละประตูชนกัน
3.ย้ายที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ (ประตู 4) และรถสุขา ออกจากพื้นที่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้รับบริการ
4.ประสานการระบายผู้รับบริการทุกประตูในภาพรวม (ไม่แยกบริหารจัดการ)
5.มอบหมายผู้รับผิดชอบในแต่ละประตูอย่างชัดเจน
6.จัดระเบียบให้ประชาชนยืนบนสติกเกอร์ที่นำมาติด 2,400 จุด
ส่วนกรณีเลื่อนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดสถานีกลางบางซื่อที่เดิมเปิดจองวันนี้เวลา 09.00 น. เป็น 11.00 น.นั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายแผนสนับสนุนวัคซีน ดังนั้นจึงต้องมีการพูดคุยกันภายใน ก่อนที่จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน เพื่อให้พอดีกับจำนวนผู้ที่จอง ซึ่งต้องกราบขอภัยในความไม่สะดวกแก่ประชาชนด้วย
"เรื่องฉีดวัคซีนเป็น 1 ใน 5 องค์ประกอบสู่ความสำเร็จในการควบคุมและกำจัดโควิด ตอนนี้เตียงในระบบทั้งรัฐและเอกชน ในกรุงเทพและปริมณฑลล้นจริงๆ ต้องกราบขออภัยหากประชาชนไม่ได้รับความสะดวก แต่อยากให้เข้าใจซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตามเราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ ถ้ามีนโยบายชัดเจน ล็อกดาวน์ครั้งนี้ไม่เหมือนล็อกดาวน์ การจราจรยังมาก อาจต้องพยายามลดการออกจากบ้าน ถ้าเราแยกผู้ติดเชื้อออกมาได้มากที่สุด การแพร่เชื้อจะลดลง การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการที่ลดการเสียชีวิตได้ดีที่สุด จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนทุกคนไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด พร้อมเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล ถ้า 2-4 อาทิตย์นี้เรากดกราฟการระบาดได้ดี เตียงจะกลับมาเพียงพอ" นพ.สมศักดิ์ กล่าว
@ จับคนโกงลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้แล้ว พร้อมดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นพ.สมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีมีการแฮกข้อมูลและเรียกรับเงินในการเข้าฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ ว่า เมื่อ 2-3 วันก่อนผู้อำนวยการศูนย์ฉีดฯ สงสัยความผิดปกติของการมารับบริการ โดยเฉพาะช่วงท้ายวัน เช่น ดูมีความรีบร้อนผิดปกติ ผู้อำนวยการศูนย์ฉีดฯจึงได้มอบหมายให้ค้นหากระบวนการดังกล่าว พบว่าเกิดขึ้นกับค่ายมือถือแห่งหนึ่ง ที่ให้บริษัทย่อยมาช่วยจัดระบบคิวและลงทะเบียน ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่าจุดลงทะเบียนตรงนี้ที่มีปัญหา จึงร่วมมือกับค่ายมือถือทำการล่อซื้อ
โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2564 เมื่อมีผู้น่าสงสัยเข้ามารับบริการราว 100 คน จึงเปิดให้เข้ามารับบริการตามระบบ และยกเลิกทันทีเมื่อเข้ามาในจุดที่จะฉีด แล้วให้มาแสดงตัว จากนั้นจึงมีการสอบถามและให้ลงบันทึกข้อความ โดยให้เล่าตั้งแต่การติดต่อผ่านใครอย่างชัดเจน จากการสอบถามพบหลักการ คือเป็นลูกจ้างที่ถูกจ้างมาอีกทอดหนึ่งของค่ายมือถือ ซึ่งได้แจ้งความเรียบร้อยแล้ว พร้อมเผยว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนที่บอกว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมร่วมด้วย ขณะนี้ยังไม่ทราบข้อมูลจริงๆ แต่มีเราจะไม่ละเว้น และจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ
@ วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส คาดถึงไทยตี 4 วันรุ่งขึ้น
สำหรับแผนการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับมาจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.5 ล้านโดส ขณะนี้ทราบว่าวัคซีนอยู่บนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าน่าจะถึงประเทศไทยในตี 4 ของวันที่ 30 ก.ค.2564 ทั้งนี้เมื่อได้รับวัคซีนมาแล้วจะไปเก็บไว้ที่คลังวัคซีนที่ได้เตรียมไว้ จากนั้นจะขนส่งไปยังหน่วยฉีดต่อไป อย่างไรก็ตามจะมีการอบรมให้บุคลากรทั่วประเทศที่เกี่ยวข้องผ่านระบบออนไลน์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ส่วนจะให้กลุ่มไหน จุดไหนอย่างไรจะมีการแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป
ด้านความคืบหน้าที่สหรัฐอเมริกามีความประสงค์จะบริจาควัคซีนให้ไทยอีก 1 ล้านโดส จะต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการจากสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ซึ่งจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบต่อไป
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage