นายกฯเรียกประชุมหารือปมจัดระบบศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อ ยันเปิดดำเนินการต่อเนื่อง โดยให้เข้มมาตรการเว้นระยะห่าง ลดความแออัด พร้อมเปิดให้กลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงวัย และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านแอปพลิเคชันวัคซีนบางซื่อ ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ส.ค. เป็นต้นไป
..........................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ผอ.ศบค. เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนโควิดของสถานีกลางบางซื่อ ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายในที่ประชุมว่า วันนี้ที่ต้องหารือเป็นหลักใหญ่ คือการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด พร้อมกับเดินหน้าทุกกลุ่มงานตามวาระการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งแนวปฏิบัติใหม่ๆ ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า ทั้งกระทรวงสาธารณสุข และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้น ได้รับนโยบายไปแล้ว สิ่งแรก คือ อยากให้กำลังใจบุคลากร และหากมีอะไรติดขัดขอให้บอกมา ตนเองพร้อมแก้ไขปัญหาดูแลให้
"รัฐบาลให้ความสำคัญในการเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งทุกการประชุม คือการที่รับฟังปัญหา อุปสรรคร่วมกับผู้ทำงานเพื่อหาแนวปฏิบัติใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือพี่ประชาชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันอีกว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยให้เสริมการจัดระเบียบการให้บริการ เพิ่มมาตรการเว้นระยะห่าง ลดความแออัด ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การลดจำนวนผู้เสียชีวิตและควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด และตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ส.ค. เป็นต้นไป จะเปิดลงทะเบียนล่วงหน้าสำหรับกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ผ่านแอปพลิเคชันวัคซีนบางซื่อ
นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวขอบคุณและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกหน่วยงาน ขณะนี้ทราบว่ามีความพยายามแก้ปัญหาความแออัด ความหนาแน่น โดยมาตรการต่าง ๆ อาทิ จัดเก้าอี้เพื่อกำหนดให้มีระยะห่าง จัดให้มีการเหลื่อมเวลาในการเข้ารับบริการ โดยผู้สูงอายุจะเข้ารับบริการช่วงเช้า และในช่วงบ่ายเป็นการให้บริการกลุ่มอื่น ๆ ลดขั้นตอนรับบริการ เช่น ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี และมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องวัดความดัน หรือผู้ที่ลงทะเบียน จองคิวผ่านระบบสามารถตรงเข้าไปฉีดวัคซีนโควิดได้เลย
พร้อมชื่นชมศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่ออีกว่า สามารถให้บริการฉีดวัคซีนโควิดกับประชาชนไปแล้ว 1 ล้านโดส และมีศักยภาพสามารถให้บริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ถึงวันละ 25,000 - 30,000 โดส และตั้งแต่เดือนหน้าจะมีการขยายกลุ่มเป้าหมายให้บริการ คือ กลุ่มผู้มีอายุ 18 ขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม และสตรีมีครรภ์อายุเกิน 12 สัปดาห์ ผ่านการลงทะเบียน
"รัฐบาลเน้นนโยบายการบริหารวัคซีน โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้มากที่สุด ซึ่งในเดือนหน้าจะมีการกระจายวัคซีนโควิดลงไปในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้นด้วย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ประชุมร่วมกับ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุษราคัม โดยกล่าวถึงความตั้งใจว่า อยากจะลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจการทำงานของทุกหน่วย แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข จึงให้เป็นการประชุมผ่านระบบทางไกล ซึ่งทราบว่าทุกฝ่ายได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อผู้ดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงการรักษา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวมอบกำลังใจและขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความร่วมมือ ร่วมใจทำงานเพื่อประชาชน ทราบว่าในช่วงเดือน ก.ค.นี้ การแพร่ระบาดมีความรุนแรง จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น เป็นผลให้โรงพยาบาลมีปริมาณงานที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความซับซ้อนของผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องการให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาให้มากที่สุดจึงได้ให้แนวทางพิจารณาว่า หากโรงพยาบาลใดมีพื้นที่ว่างก็อาจให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในบริเวณโรงพยาบาลด้วย ทั้งนี้ ขอยืนยันรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพียงพอ โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ และให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการทำงานทุกหน่วยงาน ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือ ร่วมใจทำงานเพื่อประชาชน รัฐบาลจะดูแลบุคลากรทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่เช่นกัน
ด้าน นพ.กิตติศักดิ์ รายงานการดำเนินการด้วยว่า โรงพยาบาลบุษราคัมเปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2564 ขณะนี้ผู้ป่วยสะสม 12,268 ราย สถานการณ์โรงพยาบาลบุษราคัมประมาณช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้ป่วยสะสมถึงวันที่ 17 ก.ค.2564 จำนวน 9,435 ราย จนถึงวันที่ 26 ก.ค.2564 ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 12,268 ราย ทำให้ขณะนี้มียอดผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 3,592 ราย กลับบ้านไปแล้ว 8,000 กว่าราย วันนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนจำนวน 770 ราย จากสถานการณ์การระบาดต่อเนื่องและรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สัดส่วนของผู้ป่วยที่มีอาการหนักในโรงพยาบาลบุษราคัมมีจำนวนมากขึ้น โรงพยาบาลบุษราคัมได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุขให้พัฒนาพื้นที่รองรับผู้ป่วยวิกฤติสีแดงเข้มจำนวน 17 เตียงเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว
ขณะที่ มีรายงานข่าวด้วยว่า โรงพยาบาลบุษราคัม จะหมดสัญญาเช่าพื้นที่เมืองทองธานีในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ จึงเตรียมย้ายไปที่ใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคาร AOT โดยจะเริ่มย้ายในช่วงกลางเดือนต.ค.2564 สำหรับที่สุวรรณภูมิจะมีเตียงสีเหลืองและมีเตียงที่ให้ออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยสีแดงถึง 3,000 เตียง จากเดิมที่เมืองทองมีเพียง 800 เตียงเท่านั้น นอกจากนี้จะมีการปรับเบี้ยบำรุงให้กับบุคลากรสาธารณสุขด้วย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่https://www.facebook.com/isranewsfanpage