สธ.ออกประกาศด่วนที่สุด! แจงฉีดวัคซีนสลับสำหรับประชาชนทั่วประเทศ พร้อมเปิดหลักเกณฑ์ฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 'ซิโนแวค' 2 เข็ม ตามด้วย 'แอสตร้าเซนเนก้า' สำหรับเข็ม 3 หลังฉีดเข็ม 2 อย่างน้อย 4 สัปดาห์
............................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2564 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศ ด่วนที่สุด ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ระบุถึงหลักเกณฑ์การฉีดวัคซีนสลับชนิดกัน สำหรับประชาชน และการฉีดวีคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด พบการคิดเชื้อไวรัสสายพันธุ์กลายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์เดลตา เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก มีการศึกษาโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะต้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (ไบโอเทค) พบว่า การฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และฉีควัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีใกล้เคียงกับ Astrazeneca 2 เข็ม ซึ่งคาดว่าจะมีผลตีต่อการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา และไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรงภายหลังได้รับวัคชีน
จากกรณีดังกล่าว การประชุมคณะกรรมการโรคติตต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2564 และการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด (ปค.ส5) ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 15 ก.ค. มีมติเห็นชอบการฉีดวัดซีนโควิดสลับชนิด โดยฉีดวัคซีน Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และตามด้วยวัดซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 และการฉีดวัคซีนโควิดกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า แล้วนั้น
กระทรวงสาธารณสุข จึงขอแจ้งแนวทางการฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิดสำหรับประชาชน และการฉีดวัคชีนโควิดเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ดังนี้
1. การฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิดสำหรับประชาชน
1.1) ให้ฉีดวัคซีนโควิด เข็มที่ 1 ด้วยวัคซีนโคโรนาแวค (Coronavac) ของบริษัท Sinovac Biotech จำกัด และเข็มที่ 2 เป็นวัคชีน AstraZeneca ของบริษัท AstraZeneca จำกัด โดยมีระยะห่างระหว่างเข์ม 3-5 สัปดาห์ หากเกินกว่าระยะห่างที่กำหนด ขอให้ฉีดวัคซีนโดยเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาโดยจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงใกล้เคียงกับผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ของโรค ในระยะที่มีวัคซีนจำนวนจำกัด
1.2) ในกรณีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็น AstaZeneca กำหนดให้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นวัคซีน AstraZeneca เช่นเดิม โดยมีระยะห่างระหว่างเข็ม 12 สัปดาห์
2. การฉีดวัคซีนโควิดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า
2.1) กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด เช่น บุคลากรที่ปฏิบัติงานแผนกผู้ป่วยโควิด แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉินแผนกผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใน Hospitel ที่ได้รับวัคซีนโคโรนาแวค (Coronavac) ของบริษัท Sinovac Biotech จำกัด ครบ 2 เข็มแล้ว จะได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยการรับวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด messenger Ribonucleic Acid (mRNA) จำนวน 1 เข็ม โดยมีระยะห่างระหว่างเข็มที่ 2 และเข็มกระตุ้น อย่างน้อย 4 สัปดาห์
หากเกินกว่าระยะห่างที่กำหนด ขอให้ฉีดวัคซีนโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca ครบ 2 เข็มนั้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ จึงยังไม่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นในระยะนี้ ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ จะได้รับการจัดสรรวัคนเข็มกระตุ้นในระยะถัดไป
2.2) ขอให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำรวจรายชื่อบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด พร้อมทั้งเสนอรายชื่อดังกล่าว ต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อพิจารณาตรวจสอบ ยืนยันสถานะของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขแต่ละคน และส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข (MOPH IC White Ist) เพื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ที่ได้รับวัคซีนโคโรนาแวค (Coronavac) ของบริษัท Sinovac Biotech จำกัด ครบ 2 เข็มแล้ว และมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโควิด จากการปฏิบัติงานประจำในการดูแลผู้ป่วย เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบบบริการสาธารณสุขของประเทศไทย
อนึ่ง หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติม สามารถติตต่อได้ที่ นางปียดา อังศุวัชรากร ตำแหน่งแพทย์ปฏิบัติการ และ น.ส.นพรัตน์ วิหารทอง ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ โทร. 02-590-3196 ในประเด็นแนวทางการให้วัคซีนโควิด นายชัตติย อุตม์อ่าง ตำแหน่งเภสัชกรชำนาญการ และ น.ส.ปิยะนาถ เชื้อนาค ตำแหน่งเภสัชกรปฏิบัติการ โทร. 02-590-3222 ในประเด็นการบริหารจัดการวัคชีนโควิด
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage