ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นเมื่อ 2 ปีก่อน ประเทศเมียนมานั้นมีการพบหยกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยอยู่ที่ 17 ล้านยูโร (637,762,753 บาท) แน่นอนว่ารายได้พวกนี้ แท้จริงแล้วก็ไปสู่เผด็จการทหารเมียนมากันเกือบหมด สมาคมอัญมณีของเมียนมานั้นจะได้รายได้แค่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายเท่านั้นเอง ส่วนอีก 97 เปอร์เซ็นต์นั้นเข้าไปสู่เผด็จการทหารเมียนมา
......................
หมายเหตุ:สืบเนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศเมียนมา ที่มีการประท้วงต่อต้านการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา และทางรัฐบาลทหารเองก็ได้ตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมจนเป็นเหตุให้ ณ เวลานี้มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามอยู่ที่ 701 ราย จึงเป็นเหตุให้ทางด้านของ กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อจะตัดท่อน้ำเลี้ยงเผด็จการทหารเมียนมา
โดยหนึ่งในมาตรการของสหรัฐฯ คือการห้ามนำเข้าทับทิมของเมียนมา จาก 3 บริษัท ได้แก่ Myanmar Ruby Enterprise, Myanmar Imperial Jade Co และ Cancri (Gem and Jewelry) Co. เนื่องจากทั้ง 3 บริษัท มีเจ้าของหรือเป็นบริษัทในเครือ ซึ่งควบคุมหรือมีความสัมพันธ์กับกองทัพเมียนมา (อ่านประกอบ:แบนธุรกิจ 'อัญมณี' กระทบเส้นเลือดใหญ่กองทัพเมียนมาจริงหรือ?)
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมจากทางสำนักข่าวเอพีว่ามาตรการแบนดังกล่าวนั้นอาจจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก เพราะยังมีทั้งประเทศไทยและประเทศจีนที่จะเป็นช่องทางในการระบายอัญมณีของเมียนมาได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้มีโอกาสสัมภาษณ์นายเคนเนดี้ โฮ ประธานสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งเอเซีย (AIGS) เพื่อจะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมค้าอัญมณีของเมียนมา อันเชื่อมโยงกับกลุ่มเผด็จการทหาร รวมไปถึงเส้นทางที่อัญมณีเหล่านั้นมาสู่ประเทศไทย
นายเคนเนดี้ โฮ ประธานสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งเอเซีย (AIGS)
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กฎหมายของเมียนมานั้นไม่มีอะไรชัดเจน อันที่จริงแล้วกฎหมายเมียนมาห้ามไม่ให้มีการส่งออกพลอยก้อน แต่ที่ว่าพลอยก้อนสามารถเข้ามาในประเทศไทยได้นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจเพชรพลอยแท้จริงแล้วเป็นศูนย์กลางของโลก เพชรพลอยของโลกนั้นจะมาที่ประเทศไทยก่อน แล้วมันจะถูกกระจายออกไป
@แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยเราได้เพชรพลอยจากเมียนมามาได้อย่างไร เขามีกฎหมายห้ามซื้อเพชรจากพื้นที่ที่ขัดแย้งไม่ใช่หรือ
ต้องชี้แจงกันก่อนว่าทั่วโลกนั้นไม่ได้มีกฎหมายแบบนั้น อันที่จริงแล้ว เคยมีมาตรการลงโทษจากเมียนมา โดยสหรัฐอเมริกา บอกว่าห้ามซื้อพลอยจากเมียนมาทั้งประเทศเลย แต่ว่าการใช้ลงโทษแบบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบนั้นจะกลายเป็นพ่อค้าเล็กๆ แต่ไม่กระทบไปถึงเผด็จการทหารเมียนมา พอมาถึงปัจจุบันในสมัยนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี เขาก็เลยมีการใช้มาตรการลงโทษเป็นรายบริษัทไป โดยเน้นบริษัทที่เผด็จการทหารเมียนมามีหุ้นอยู่เป็นหลัก
@ปัจจุบันยังมีช่องทางที่เพชร พลอยจากเมียนมาจะเข้ามาได้อยู่หรือไม่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจะหมายความว่าประเทศไทยจะกลายเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนเผด็จการทหารเมียนมาทางอ้อมใช่หรือไม่
ประเทศไทยกับเมียนมานั้นมันติดกัน การที่เพชรเข้ามาทางชายแดน ช่องทางธรรมชาตินั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ส่วนที่บอกว่าประเทศไทยจะเป็นแหล่งระบายเพชรเพื่อเอาเงินทุนไปสนับสนุนเผด็จการทหารเมียนมาทางอ้อมนั้น ต้องขอชี้แจงกันก่อนว่าเผด็จการทหารเมียนมาเขามีช่องทางอยู่แล้ว เขาไม่มาทางนี้ อันที่จริงที่คุณบอกว่าเพชรนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ ที่จะข้ามมาทางชายแดนเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้นส่วนมากจะเป็นทับทิม ไพลินเสียมากกว่า
คือต้องบอกว่าประเทศเมียนมานั้นมีอัญมณีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง คือหยก ไพลิน และก็ทับทิม เรื่องหยกนั้นไม่ต้องห่วงไม่ไปยุโรปแน่นอน เพราะไม่ใช่สิ่งที่นิยม ดังนั้น 99 เปอร์เซ็นต์ของหยกเมียนมาแน่นอนว่าไปที่ประเทศจีน ส่วนเรื่องไปทางไหนนั้น ต้องขอกว่าทางการเมียนมาเขาเป็นคนประมูลเองเลย แม้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เขาก็ยังใช้ช่องทางที่ว่านี้ส่งออกหยกได้อยู่ เพราะประเทศจีนไม่ได้มีมาตรการลงโทษเมียนมาแต่อย่างใด
ส่วนช่องทางของไพลินเองก็ถูกส่งไปที่จีนเหมือนกันเป็นส่วนมากเช่นกัน
@แล้วที่บอกว่ามีการลอบนำอัญมณีเข้ามาทางชายแดนไทยนี่มันเป็นอย่างไร
ผมบอกแล้วว่าชายแดนไทย-เมียนมานี้มันติดกัน ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีคนเข้ามาเยอะแยะ เข้ามาอย่างไร ก็มีพวกแรงงานเถื่อน ผู้อพยพเข้ามาเสียมาก ซึ่งอัญมณีก็เข้ามากับคนกลุ่มนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าตอนนี้อัญมณีจากเมียนมาที่จะเข้าสู่ไทยนั้นแท้จริงแล้วจะน้อยมาก ในสัดส่วนของตลาด ไม่เหมือนกับช่วง 20-30 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีตลาดหลากหลายเท่า เพราะ ณ เวลานี้ สัดส่วนตลาดของประเทศไทยนั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นอัญมณีทับทิมจากทางแอฟริกาเสียมากกว่า
ส่วนประเด็นที่ว่าพลอยที่ถูกลักลอบนำเข้ามานั้นจะถูกนำไปขึ้นในร้านตามห้างได้หรือไม่อย่างไรนั้น ต้องบอกว่าอัญมณีเป็นสินค้าที่ไม่เหมือนพวกรถยนตร์ ใครจะบอกได้ว่าถ้าหากเห็นพลอยแล้วมันมีที่มาจากไหน ถ้าหากคุณไปดูตลาดพลอยที่จันทบุรี จะเห็นเลยว่าตลาดพวกนี้เขารับของมาจากทั่วโลก แต่คนขายในตลาดนั้นก็ไม่สามารถจะดูที่มาที่ไปได้เลยว่าพลอยที่มาขายตลาดนี้นั้นมาจากไหนบ้าง และร้านใหญ่ก็ไปซื้อพลอยจากตลาดพวกนี้เพื่อนำมาขึ้นห้างอีกทีหนึ่ง
แต่ที่ผมบอกว่ามันมีพลอยมาจากเมียนมามาด้วยนั้น ก็เพราะว่าที่ผ่านมามีการส่งพลอยมาให้ผมดูอยู่ เพื่อให้ให้ผมออกใบรับรองให้ ซึ่งตัวอย่างใบรับรองที่ผมออกให้นั้นก็บอกได้ว่ามาจากไหน
@ช่วงนี้มีพลอยจากเมียนมาเข้ามาหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุการณ์การรัฐประหาร
อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะว่าพลอยเม็ดหนึ่งส่งมาให้ผมนั้น เราก็ไม่รู้ว่ามันถูกขุดมาเมื่อไม่นานมานี้ หรือว่าถูกขุดมาตั้งแต่ 50 ปีก่อนแล้วหรือไม่ แต่ผมแค่บอกได้ว่าเม็ดนี้มาจากเมียนมาหรือไม่
ส่วนประเด็นถ้าจะถามว่าตลาดในเมืองไทย เรายึดกฎการไม่ซื้ออัญมณีจากพื้นที่ขัดแย้งหรือไม่ ต้องบอกว่าต่อให้มีกฎหมาย ตลาดเขาก็ดูไม่ออกว่ามันถูกซื้อมาจากไหน เขาแค่รู้ว่าชนิดพลอยนั้นมันผิดกันหรือไม่ ถ้าหากมีเครื่องมือตรวจเท่านั้น ซึ่งทางพ่อค้าเขาก็ไม่ได้ส่งมาให้ผมดูเพื่อออกใบรับรองทั้งหมด ดังนั้นก็มีความแน่นอนได้เลยว่าอัญมณีที่มีการขายกันอยู่ ณ เวลานี้นั้น แท้จริงแล้วก็เป็นการยากมากที่จะหาที่มาได้ว่ามาจากไหน มาจากพื้นที่ขัดแย้งหรือไม่
อันที่จริงแล้วต้องบอกก่อนว่าปริมาณพลอยที่ส่งออกจากประเทศไทยนั้นแท้จริงแล้วมหาศาลมาก จะบอกว่าพลอยจากเมียนมานั้นมาทางเราอย่างเดียวก็ไม่ถูก แต่พลอยจากประเทศไทยนั้นเข้าไปในเมียนมาก็มีเช่นกัน แล้วคนไทยก็ไปซื้อมาแล้วก็อ้างว่าได้พลอยมาจากเมียนมาก็มีเหมือนกัน เพราะพลอยจากเมียนมานั้นมีราคาดีกว่า แต่พอมาตรวจสอบดูแล้ว กลับปรากฎว่าเป็นพลอยที่มาจากประเทศไทยซะเองก็มีเหมือนกัน ดังนั้นต้องบอกว่าการป้องกันการไหลเวียนของพลอยจากเมียนมามาไทย เป็นเรื่องที่ยากมาก
ตัวอย่างทับทิมมูลค่าสูงที่เคยถูกนำเข้ามายังประเทศไทย
@สรุปก็คือประเทศไทยไม่ได้มีมาตรการป้องกันการนำพลอยเข้ามาจากพื้นที่ความขัดแย้งเลย
ต้องถามว่าอะไรมันคือพื้นที่ความขัดแย้ง ชี้แจงกันก่อนว่าบริบทของประเทศเมียนมานั้นนั้นไม่เหมือนกับที่ประเทศเซียร์ราลีโอน ที่มีกรณีเพชรสีเลือด คนที่ขุดพลอยที่นู่น ส่วนมากแล้วเป็นเจ้าเล็กๆทำกันของเขาเอง ส่วนบริษัทเอกชนรายใหญ่ๆ ที่ทางทหารมีหุ้นกับเอกชน เขาก็จะผูกขาดเหมืองพลอยที่นู่นกันหมด ถ้าใช้บริบทการแบนพลอยจากเมียนมาเหมือนที่เซียร์ราลีโอนนั้น คนที่เจ็บปวดที่สุดก็จะกลายเป็นพ่อค้าเล็กๆ แต่จะไม่กระทบรายใหญ่ผู้ค้าอัญมณีรายใหญ่ที่เขามีช่องทางการขายอัญมณีเลย เทียบตลาดกันแล้ว ตลาดที่ใหญ่ที่จะได้ราคาดีของเขานั้นจริงๆนั้นจะอยู่ที่ประเทศจีนมากกว่า เพราะทางไทย ผมไม่เห็นพลอยเม็ดใหญ่ของเมียนมามามาทางไทยนานมากแล้ว
ส่วนที่ผมบอกว่าถ้าแบนเมียนมา แล้วมันจะกระทบกับรายเล็กมากกว่า ก็เพราะว่าที่เมียนมานั้นมันมีเหมืองเล็กๆที่ปิดไปแล้ว และชาวบ้านตัวเล็กๆเข้าไปลักลอบขุดกัน ซึ่งรายได้ก็ไม่มาก ถ้าไปแบนช่องทางที่เขาจะได้นำพลอยออกมาขายตามพรมแดนอีก ท้ายที่สุดคนพวกนี้เขาก็จะเดือดร้อนมากกว่า แต่จะไม่กระทบกับรายใหญ่ที่ไปตลาดจีนเลย
@หยกกับท่อน้ำเลี้ยงกับเผด็จการทหารเมียนมา
อันที่จริงแล้วอัญมณีอีกชนิดหนึ่งของเมียนมาที่จะไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในประเทศเมียนมาและเป็นทรัพยากรหนุนเผด็จการทหารเมียนมาได้ นั่นก็คือหยก รายได้จากการขายหยกที่เมียนมานั้นรายได้นั้นไปที่รัฐบาลเกือบหมดเลย แล้วหยกก็ไม่ใช่อัญมณีที่จะลักลอบขนข้ามมากันได้ง่ายๆ เพราะขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักที่มาก
ดังนั้นที่ผมบอกว่ามันไม่เหมือนกับบริบทของประเทศเซียร์ราลีโอน ก็เพราะว่า เผด็จการทหารเมียนมาเขาได้คุมหมด ไม่มีทางที่กลุ่มติดอาวุธอื่นๆนั้นจะสามารถเข้าถึงอัญมณีที่มีมูลค่าสูงได้เช่นเดียวกับทางรัฐบาล และอีกประการก็คืออัญมณีที่เป็นช่องทางหารายได้ของเขาก็คือหยก ซึ่งมันยากอยู่แล้วที่จะลักลอบขนออกมาได้ และก็ยากที่จะขุดออกมาด้วย ต้องเป็นเอกชนที่รัฐบาลทหารเมียนมาของเขามีหุ้นอยู่เท่านั้น ถึงจะมีขีดความสามารถในการขุดหยกออกมาจากภูเขาได้ คนธรรมดานั้นทำไม่ได้แน่นอน
โดยรายได้ส่วนมากนั้นแน่นอนว่าก็จะมาจากคนจีนที่นิยมซื้อหยก ที่สามารถบินเข้ามาประมูลซื้อได้โดยตรงเลยที่กรุงเนปิดอว์ และอีกประเทศที่มักจะเข้าไปซื้อก็คือประเทศไทย ซึ่งทั้งหยกและพลอย ถ้าหากบินไปซื้อถึงที่เลย ก็มีโอกาสที่จะได้เม็ดใหญ่มากกว่าที่จะได้จากการลักลอบจนมาจากทางชายแดน และแน่นอนว่าทั้ง 2 ประเทศก็ไม่ได้มีมาตรการลงโทษเมียนมาแต่อย่างไร
ดังนั้นประเทศไทยนั้นไม่ได้ห้ามเลยถ้าหากเราจะบินไปซื้ออัญมณีที่เมียนมาเลยก็สามารถทำได้ แต่ก็อย่างที่ผมบอก ความจริงแล้วรายได้จากพวกพลอยในเมียนมานั้นถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกันกับรายได้ที่มาจากพวกน้ำมัน แก๊ส และก็หยกที่ถือว่ามีเป็นร้อยเป็นพันเท่า เมื่อเทียบกับอัญมณี
ซึ่ง ณ เวลานี้แม้จะมีมาตรการแซ็งชั่นเมียนมาไป ผมว่ามันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเขาเท่าไร เพราะประเทศจีนนั้นก็ยังเป็นพี่ใหญ่ของเมียนมาที่จะช่วยเหลือตรงนี้
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นเมื่อ 2 ปีก่อน ประเทศเมียนมานั้นมีการพบหยกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยอยู่ที่ 17 ล้านยูโร (637,762,753 บาท) แน่นอนว่ารายได้พวกนี้ แท้จริงแล้วก็ไปสู่เผด็จการทหารเมียนมากันเกือบหมด สมาคมอัญมณีของเมียนมานั้นจะได้รายได้แค่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายเท่านั้นเอง ส่วนอีก 97 เปอร์เซ็นต์นั้นเข้าไปสู่เผด็จการทหารเมียนมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่พรรคเอ็นแอลดีจะเข้ามามีอำนาจอีก
ตลาดหยกที่เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งถือเป็นตลาดหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อ้างอิงวิดีโอจาก Vic Stefanu - Amazing World Videos)
สรุปก็คือในเรื่องการสนับสนุนเผด็จการทหารเมียนมานั้น ก็อย่างที่บอกว่าถ้าหากซื้อหยก ก็เท่ากับว่าสนับสนุนเผด็จการทหารเมียนมาอย่างแน่นอน เพราะทั่วโลกนั้นมีแหล่งผลิตหยกก็อยู่ที่เดียวก็คือที่เมียนมานั่นเอง แต่แม้ว่าถ้าหากจะมีการออกมาตรการแบนห้ามซื้อหยก หรือแบนบริษัทของเมียนมา เอาจริงๆผมว่าก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ซื้อและใช้หยกก็อยู่ในประเทศจีนเอง อีกทั้งการประมูลหยกนั้นมันก็จัดขึ้นอยู่ในประเทศเมียนมา มาตรการแบนจากทางประเทศตะวันตกนั้นก็คงจะไม่มีผลและไม่สามารถไปบังคับใช้ได้
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage