"...เมื่อปี 2561 หน่วยงานได้บูรณาการตัวเลขเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผู้ที่ได้รับสิทธิ์เบี้ยยังชีพคนชรา ปรากฎว่าจำนวนประชากร 12 ล้านคน มีผู้ขอใช้สิทธิ์ 10.1 ล้านคน และพบว่ามีการรับสิทธิ์ซ้ำซ้อน 15,300 คน จะเห็นได้ว่ามีข้อบกพร่องคิดเป็น 0.0001% เท่านั้นที่เป็นข้อผิดพลาด..."
...................................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2564 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กรณีกรมบัญชีกลางเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุจากบุคคลที่ได้รับเงินสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์อื่นร่วมด้วย โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบคำถาม
นายยุทธพงศ์ : ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพคนชราและได้รับเงินสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นร่วมนั้น จะยังคงได้รับเบี้ยยังชีพคนชราต่อไปในอนาคตหรือไม่ และนายกรัฐมนตรีจะเอาผิดกับกรมบัญชีกลางหรือไม่ เนื่องจากเป็นความผิดพลาดของกรมบัญชีกลางที่ไม่ตรวจสอบ และไม่ใช่ความผิดของผู้สูงอายุที่จะต้องมารับผิดชอบ และถือว่าเงินที่ได้มาเป็นลาภที่มิควรได้
นายจุติ : ปัญหาที่เกิดขึ้นมีการจ่ายเงินให้ตั้งแต่ปี 2552 ขณะนั้นมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตนเองเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายนี้ให้สภา โดยในช่วงเวลาที่เริ่มต้นใช้ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ในปี 2546 มีประชากรผู้สูงอายุไม่กี่ล้านคน แต่ในปี 2564 เป็นปีแรกที่สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุมากกว่าเด็ก โดยปัจจุบันมีประชากร 12 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากร และในอนาคตปี 2578 คาดดว่าจะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 20 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ของประชากรทั้งหมด
เรื่องนี้ได้สอบถามสาเหตุมาพบว่า เมื่อปี 2561 กรมบัญชีกลาง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมกิจการผู้สูงอายุ ได้บูรณาการตัวเลขเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนผู้ที่ได้รับสิทธิ์เบี้ยยังชีพคนชรา ปรากฎว่าจำนวนประชากร 12 ล้านคน มีผู้ขอใช้สิทธิ์ 10.1 ล้านคน และพบว่ามีการรับสิทธิ์ซ้ำซ้อน 15,300 คน จะเห็นได้ว่ามีข้อบกพร่องผิดพลาดแน่นอน แต่ขณะเดียวกันจะพบว่าความถูกต้องของตัวเลข 99.99% และมีเพียง 0.0001% เท่านั้นที่เป็นข้อผิดพลาด
"เรื่องนี้เราได้เข้าไปแก้ไขโดยกระทรวง พม.ที่มีภารกิจดูแลผู้สูงอายุ ได้ประสานงานให้สมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมาย และทนายอาสาทั่วประเทศ ไปติดต่อผู้สูงอายุที่เรามีชื่อทั้งหมดแล้ว กรณีที่ใครถูกเรียกเงินคืน ก็ให้ใช้ทนายเหล่านี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย" นายจุติ กล่าว
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบหาทางออกให้รวดเร็วที่สุด โดยไม่ให้กระทบผู้สูงอายุ และจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขอเรียนว่านับตั้งแต่เกิดเหตุเราได้ประชุมกันไปแล้ว 2 ครั้ง และในวันที่ 5 ก.พ.2564 จะมีการประชุมด่วนของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อหาข้อตกลงแนวทางออกทางกฎหมายร่วมกัน อย่างไรก็ตามแนวทางทุกคนที่เห็นชอบกันหมดคือ ไม่ควรจะเรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุ และต้องหาทางออกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และเชื่อว่าวันที่ 5 ก.พ.2564 จะมีความชัดเจนในการแก้ปัญหา
นายยุทธพงศ์ : ผู้สูงอายุจำนวน 15,300 คน จะยังได้รับเบี้ยยังชีพคนชราต่อไปหรือไม่ หรือจะหยุดจ่ายทันที เพราะคนเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุที่มีความลำบาก น่าสงสาร และน่าเห็นใจ
นอกจากนั้นกรณีนี้ กรมบัญชีกลางไม่ได้ให้มีการรับเงิน 2 ทางซ้ำซ้อนกันไม่ได้ แต่ขอยกตัวอย่างบางกรณีที่มีการรับเงินซ้ำซ้อนจำนวนมาก และทำไมกรมบัญชีกลางจึงไม่มีการเรียกเงินคืน เช่น กรณีนายกรัฐมนตรี ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) , นายกรัฐมนตรี และ ผู้บัญชาการทหารบก ท่านได้รับเงินรวมกันแล้วหลาย 10 ล้านบาท เหตุใดกรมบัญชีกลางถึงไม่เรียกเงินคืน
นายจุติ : เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมีเรื่อง มาตรา 12 พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ปี 2546 ที่จะต้องไปดูว่าสามารถทำอย่างไรที่ผู้สูงอายุจึงจะได้รับเบี้ยงยังชีพ ส่วนผู้สูงอายุที่รับเงินซ้ำซ้อนนั้นได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าในจำนวน 15,300 คน มีการได้รับเงินบำนาญพิเศษ 24 ประเภท ซึ่งต้องตรวจสอบดูว่าใครที่ได้รับมาโดยสุจริตและเป็นบำเหน็จตกทอด คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติคงจะพิจารณาหาทางออกอย่างเป็นธรรมให้กับผู้สูงอายุ ส่วนกรณีท่านใดที่เกิดได้มาโดยอาจจะแจ้งข้อมูลไม่ถูกต้อง ก็จะมีการพิจารณาเป็นรายบุคคลไป
"เรื่องนี้ พม.จังหวัดทุกจังหวัด ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และฝ่ายกฎหมาย จะพิจารณานำเสนอในวันพรุ่งนี้ว่าจะมีทางออกอย่างไร แต่คงบอกไม่ได้ทั้งหมดวันนี้ว่า 15,300 คนถูกต้องตรงตามประเภทไหน แต่ต้องดูว่าบำนาญพิเศษแต่ละประเภทจะเกี่ยวข้องอย่างไร ส่วนกรณีคำถามที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ไม่มีเรื่องเบี้ยยังชีพอยู่ จึงไม่สามารถตอบได้" นายจุติ กล่าว
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage