"...ขอย้ำนะครับไม่ว่าใครที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว ยังต้องใส่หน้ากากป้องกัน หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและทิ้งระยะห่างทางสังคมอย่างต่อเนื่องเพราะวัคซีนกว่าจะได้ผลต้องหลังฉีดครบเข็มที่สองอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์..."
.............................
ณ 31 มกราคมนี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีน โควิด-19 ไปแล้ว 94 ล้านคนกว่าที่ประเทศไทยจะได้ฉีดอีก 15 วัน ทั่วโลกน่าจะได้รับการฉีดไปแล้วเกิน 100,000,000 คนตอนนี้เฉลี่ยฉีดอยู่ที่ประมาณ เกือบ 5,000,000 คนต่อวันครับ
1. วัคซีนที่มีการอนุมัติให้ใช้ในหลายประเทศและรวมทั้งในประเทศไทยด้วย ถือว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานสากล นั่นคือในเชิงประสิทธิภาพในการป้องกันอาการของโรคและหรือความรุนแรงของโรควัคซีนทุกตัวที่ฉีดทั่วโลกในปัจจุบันผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยาคืออย่างน้อยต้องมีประสิทธิภาพเกิน 50% และการที่จะอนุมัติให้ใช้แบบภาวะฉุกเฉินได้จะต้องมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครในระยะที่สามได้รับการติดตามเกิน 60 วันโดยไม่พบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรง
ฉะนั้นไม่ควรมัวแต่กังวลว่าวัคซีนใดใดก็ตามที่ผ่านองค์การอาหารและยาแล้วไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่ปลอดภัยครับ
2. ณ ตอนนี้ก็ไม่มีการรายงานข่าวผลข้างเคียงรุนแรงใดๆเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด จากข้อมูลก็คงได้เห็นว่าผลข้างเคียงที่รุนแรงถือว่าเกิดน้อยมากๆ คือน้อยกว่า 1 ต่อ 1,000,000 คน
กรณีของประเทศนอร์เวย์ก็ได้รับการยืนยันทั้งจากองค์การอนามัยโลกและประเทศนอร์เวย์เองว่าไม่ได้เกี่ยวกับวัคซีนโดยตรงแต่ต้องระวังไม่ฉีดในผู้สูงวัยที่เปราะบางที่สภาพไม่แข็งแรงมากอยู่แล้วหรืออายุมากจนเกินไป
3. อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะฉีดวัคซีนชนิดไหนหรือสุดท้ายจะไม่ฉีด การป้องกันการติดเชื้อที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อปัจจุบันหรือเชื้อกลายพันธุ์ที่ฮือฮากันในแอฟริกาใต้อังกฤษที่พบว่าเริ่มดื้อต่อวัคซีนจำนวนหนึ่งแล้วนั้น
การป้องกันที่แน่นอนที่สุด ก็คือ การใส่หน้ากาก การหมั่นล้างมือและการทิ้งระยะห่าง ไม่อยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงนะครับ
4. ขอย้ำนะครับไม่ว่าใครที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว ยังต้องใส่หน้ากากป้องกัน หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและทิ้งระยะห่างทางสังคมอย่างต่อเนื่องเพราะวัคซีนกว่าจะได้ผลต้องหลังฉีดครบเข็มที่สองอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์
และอย่าลืมว่าตอนนี้เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลกซึ่งมีหลักฐานว่าดื้อวัคซีนระดับหนึ่งแล้ว ในที่สุดอาจจะไม่ช้าก็เร็วคงแพร่เข้ามาในประเทศเราไม่มากก็น้อยครับ
5. หากใครคิดว่าประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า อยากเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ บ้าง ซึ่งหลายประเทศอาจจะเริ่มเปิดให้การท่องเที่ยวขึ้น และมีการเตรียมออกกฎระเบียบให้ต้องมีวัคซีนพาสปอร์ตในหลายประเทศของโลกเกิดขึ้นแน่นอนครับ ใครฉีดก่อนก็อาจจะได้เที่ยวก่อนนะครับ
6. ทั้งนี้และทั้งนั้นการตัดสินใจเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลครับ อย่าเชื่อเพราะใครพูด หรือจาก social media ขอให้ดูจากข้อมูลทางวิชาการแล้วก็ตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสตินะครับ
โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
31 มกราคม 2564
https://www.bloomberg.com/graphics/covid-vaccine-tracker-global-distribution/