"...นพ.ทวีศิลป์ ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจง พร้อมกับขอโทษที่สื่อสารคลาดเคลื่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่โหลด ไม่ได้มีความผิดขนาดนั้น เพราะเจตนาที่แท้จริงเป็นการขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่ใช้แอปพลิเคชัน ‘หมอชนะ’ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด ส่วนหากประชาชนไม่มีสมาร์ทโฟนไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันได้นั้น ก็สามารถใช้วิธีจดบันทึกของตนเองก็ได้..."
..............................................
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2564 เว็บไซต์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เผยแพร่รายงานเรื่อง เบื้องหลัง 'ศบค.' พบ 'สื่อ' กู้วิกฤติโควิด กับพายุข้อมูลที่สับสน โดยมีเนื้อหา ดังนี้
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. นำโดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุมร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน อาทิ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และตัวแทนสื่อมวลชนจากสำนักต่างๆ
นอกจากนี้ยังมี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. , โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , สำนักงานรัฐบาลดิจิทัล , ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี , สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , กรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท.
พล.อ.ณัฐพล กล่าวเปิดการประชุมโดยแนะนำโครงสร้างการทำงานของ ศบค. และยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนที่กลัวการให้ข่าวกับสื่อมวลชน แต่วันนี้ยินดีที่จะพบและต้องการรับฟังความคิดเห็นจากสื่อมวลชน และนับตั้งแต่รับตำแหน่งเลขาฯ สมช. และรับราชการมา 37 ปี ยอมรับว่าโควิดเป็นสถานการณ์ที่หนักที่สุด เพราะเมื่อมีมาตรการเข้มไปก็โดนตำหนิ เมื่อผ่อนคลายก็ถูกตำหนิ ซึ่งเป็นการทำงานบนความคิดเห็นที่แตกต่างของสังคมในการแก้ไขสถานการณ์
พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า การแก้ไขสถานการณ์โควิดมี 2 ส่วน คือ 1.ความสำเร็จของการแพทย์ สาธารณสุข 2.การบริหารความรู้สึก ความเข้าใจของประชาชน หากทั้งสองส่วนทำได้มากกว่า 80% จะสามารถทำให้ช่วยควบคุมสถานการณ์และยืนระยะได้
"ตอนนี้เราต้องให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจกับสังคม วันนี้ผมจึงต้องการคำแนะนำจากพี่ๆ สื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของ ศบค.ต่อไป" พล.อ.ณัฐพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเป็นการเปิดให้สื่อมวลชนได้แสดงความคิดเห็นการทำงาน การสื่อสารของ ศบค.
เริ่มจากประเด็นของไทม์ไลน์ ผู้ติดเชื้อโควิด ที่บางจังหวัดก็ไม่ทำ แต่บางจังหวัดเขียนละเอียดมากจนสามารถรู้ชื่อนามสกุล จนสามารถระบุได้ว่าอยู่บ้านหลังไหน โดยยกตัวอย่าง นนทบุรี และนครปฐม แต่บางจังหวัด อาทิ กทม. เขียนแบบกลัวโดนฟ้อง ใช้คำว่าสถานที่แห่งหนึ่ง ร้านแห่งหนึ่ง ทำให้คลุมเครือ ไม่ชัดเจน จนบางครั้งก็สงสัยว่าทำไปเพราะเหตุใด
จึงมีการเสนอให้ ศบค.มอบนโยบายและกำหนดให้เป็นรูปแบบการเขียนไทม์ไลน์ ในลักษณะเดียวกันทั้งหมดจะทำได้หรือไม่
‘นพ.ทวีศิลป์’ ชี้แจงว่า เรื่องไทม์ไลน์เป็นเรื่องที่พยามทำอย่างเต็มที่ แต่ด้วยข้อมูลมีจำนวนมากในบางพื้นที่ก็จะใช้วิธีการรวบรวมเป็นกลุ่ม เพราะไม่สามารถทำไทม์ไลน์อย่างละเอียดได้ทุกคน เช่นเดียวกับหลายประเทศ รวมทั้งสิงคโปร์ที่ไม่สามารถรายงานไทม์ไลน์ได้ เนื่องจากข้อมูลเขาก็เยอะเหมือนเรา จึงทำเป็นกลุ่มก้อนเฉพาะ
ประเด็นแอปพลิเคชัน ไทยชนะ-หมอชนะ
มีการพูดถึงแอปพลิเคชันเกี่ยวกับโควิดที่มีมากเกินไป ทั้ง ‘ไทยชนะ’ และ ‘หมอชนะ’ นอกจากนั้นถ้าเดินไปเชียงใหม่ก็มี ‘เชียงใหม่ชนะ’ อยู่ กทม.ก็มีของตัวเอง จึงขอให้ ศบค.ทำให้เหลือเพียงแอปพลิเคชันเดียวจะได้หรือไม่
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ในที่ประชุมท้วงติงกรณีการแถลงข่าวของ โฆษก ศบค. รอบวันที่ 7 ม.ค.ที่ระบุว่า ถ้าประชาชนใน 'พื้นที่ควบคุมสูงสุด' ไม่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ จะมีความผิดและต้องรับโทษ
นพ.ทวีศิลป์ ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจง พร้อมกับขอโทษที่สื่อสารคลาดเคลื่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่โหลด ไม่ได้มีความผิดขนาดนั้น เพราะเจตนาที่แท้จริงเป็นการขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่ใช้แอปพลิเคชัน ‘หมอชนะ’ ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด ส่วนหากประชาชนไม่มีสมาร์ทโฟนไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันได้นั้น ก็สามารถใช้วิธีจดบันทึกของตนเองก็ได้
"ยืนยันว่าการแถลงของ ศบค.ในเรื่องดังกล่าว เป็นการอ่านตามเอกสารที่ระบุในคำสั่ง แต่ความจริงไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น เพราะต้องการเพียงความร่วมมือกับประชาชนเท่านั้น" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยในเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปัญหาการถูกแทร็กกิ้งที่จะติดตามเฉพาะคนที่ 'อนุญาตให้ติดตาม' เฉพาะช่วงเวลาที่เปิดใช้แอปพลิเคชันเท่านั้น จึงขอให้มีการสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนในการติดตั้ง และใช้แอปพลิเคชันหมอชนะอีกครั้ง
การทำหน้าที่ของ 'โฆษก ศบค.'
มีการท้วงติงการทำหน้าที่ของ นพ.ทวีศิลป์ ที่อาจจะต่างจากช่วงการระบาดระลอกแรก ที่ดูจะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมามากกว่ารอบนี้ สังเกตได้จากการเลี่ยงใช้คำต่างๆ เพราะอาจจะกังวลเรื่องการเมืองมากไปหน่อย เช่น การระบุสีในพื้นที่ เช่น พื้นที่สีแดง สีส้ม ก็เลี่ยงไปใช้คำว่าควบคุม หรือ ควบคุมสูงสุดแทน ทั้งที่ประชาชนเข้าใจในการควบคุมการระบาด หรือการเอ่ยถึงบ่อนการพนัน ก็ไม่กล้ากล่าวตรงๆ เป็นต้น
รวมทั้งมีการท้วงติงการทำงานของ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร ที่สื่อมวลชนฝาก ศบค. สะท้อนปัญหาในครั้งนี้ เพราะเมื่อนักข่าวถามข้อมูลในเชิงการแพทย์ มักจะไม่ได้รับคำตอบ จึงเสนอให้การแถลงข่าวของโฆษก กทม. เชิญแพทย์จากสำนักอนามัย และสำนักการแพทย์ของ กทม. มานั่งแถลงและให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย รวมทั้งขอให้บูรณาการร่วมกับ ศบค.ด้วย
ซึ่งจุดนี้ 'หมอทวีศิลป์' น้อมรับและชี้แจงด้วยว่า การทำงานของตัวเองยึดหลักสามข้อ คือ 1.Truth - ข้อเท็จจริง 2.Transparency - โปร่งใส 3.Timing - เวลา พร้อมกับอธิบายว่า ในช่วงที่มีการระบาดครั้งที่แล้ว มีกรณีที่พบผู้ป่วยสูงสุด 188 เคส ที่ต้องขอบคุณทีมระบาดวิทยาที่ต้องอดหลับอดนอน ทำงานดึกดื่นทุกวันเพื่ออัพเดตข้อมูล
"แต่ครั้งนี้ ข้อมูลมหาศาลจริงๆ ครั้งแรกก็มาเลย 500 ราย เมื่อข้อเท็จจริงมีมาก ก็เลยทำให้ความโปร่งใสมีปัญหา จนทำให้หนักใจ เพราะข้อมูลจำนวนมากทำให้การรายงานไม่ครบและมีปัญหาด้วย ไม่ใช่ไม่อยากรายงานให้ครบถ้วน แต่กรณีรอบแรกเกิดขึ้นในสนามมวย และสถานบันเทิงทองหล่อเป็นแหล่งใหญ่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะแม้จะขอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขแล้วก็ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทำงานหนักเพราะข้อมูลเยอะจริงๆ เพราะในพื้นที่เองก็สาละวนกับการสอบสวนโรคจำนวนมาก" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ส่วนที่ว่ากลัวการพูดในเชิงการเมืองและการใช้ภาษานั้น นพ.ทวีศิลป์ ยืนยันว่า ตัวเองพูดในสิ่งที่สบายใจที่จะพูด สบายใจที่ได้ทำงานกับ เลขาฯ สมช. เพราะไม่มีใครมาสั่งให้ต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้
"นี่คือภาวะวิกฤติ แม้ประเทศขนาดใหญ่เขาก็เจอยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหา" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
การจัดการข้อมูลของรัฐบาลเอง
มีการพูดถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหัก ข้อมูล กทม. ที่ห้ามรับประทานอาหารในร้านหลัง 19.00 น. แต่นายกรัฐมนตรียกเลิกประกาศ ภาพออกมาเหมือน กทม. กับ ศบค. ไม่ได้คุยกัน ทั้งที่ความจริงการแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องแถลงข่าว จัดการด้วยการที่สื่อสารกันภายใน ก็จะไม่เกิดภาพของความขัดแย้ง
รวมทั้งกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ศบค.ล็อกดาวน์ 5 จังหวัด แต่สุดท้ายต้องรอการชี้แจงในวันต่อไปทำให้เกิดความสับสนของข้อมูล แต่ไม่มีใครกล้าออกมาแก้ข่าวได้ทันท่วงที
นอกจากนั้นยังพูดถึงกรณีที่จังหวัดต่างๆ ให้ข่าวการพบผู้ติดเชื้อรายพื้นที่ของตัวเอง ทำให้มีข้อมูลมหาศาลตลอดทั้งวัน
ซึ่งตรงนี้สื่อบอกกับ ศบค.ว่า อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก และต้องบริหารจัดการข้อมูลให้เป็น 'ข้อความเดียว' เพราะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ที่ประชาชนจะสับสน
พร้อมกับเสนอว่า หาก นพ.ทวีศิลป์ แถลงคนเดียวไม่หมด ขอให้ถอยกลับไปใช้หลักการแถลงแบบ ศบค. รอบแรก คือ หมอแถลงสถานการณ์ หน่วยงานไหนเกี่ยวข้องกับเรื่องใดให้มีตัวแทนมาร่วมแถลง เช่น เรื่องความมั่นคง มี สมช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย , เรื่องแรงงาน มีกระทรวงแรงงาน , เรื่องแอปพลิเคชัน มีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่เช่นนั้น นพ.ทวีศิลป์ จะแบกภาระอยู่คนเดียว
ก่อนจบการประชุมที่ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง เลขาฯ สมช.ในฐานะประธานการประชุม แสดงความขอบคุณ และน้อมรับทุกคำแนะนำจากสื่อมวลชน หลายเรื่องเป็นความจริงที่ต้องรีบแก้ไข
“หากสิ่งใดทำได้ทันทีก็จะทำ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ก็จะพยายามทำให้ดีมากขึ้นและเมื่อเราจะปรับปรุงการสื่อสารอย่างไรก็จะแจ้งให้สื่อทราบ หรือ ให้ติดตามดูว่า ศบค.ได้ปรับการสื่อสารตามที่เสนอแนะมาแล้วหรือไม่” เลขาฯ สมช.กล่าว
(หมายเหตุ : เรื่อง/ภาพประกอบ https://www.tja.or.th/view/activities/media-movements/290868)
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage