"...ข้อดีของการไม่ได้ฉลองปีใหม่นอกบ้านคือการมีเวลาให้ตนเองและครอบครัวมากขึ้น และหวังว่าพวกเราคงจะใช้เวลาไปกับอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1. การให้ความรักความอบอุ่นกับคนในครอบครัว 2. การสะสางสมบัติบ้าในบ้านเรา เพื่อหาพื้นที่ว่าง และนำไปบริจาคให้คนอื่น 3. การทบทวนผลการลงทุนและแผนลงทุนในปี 2564..."
.......................................
จบสิ้นปี 2563 ไปอย่างงงๆ คือจะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิง เพราะเมื่อบรรยากาศลงทุนเริ่มสดใส แต่พอเข้าใกล้ปลายปีตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.แม้ตลาดหุ้นจะยังดูดีมีความหวัง เจ้าโควิทก็กลับมาคุกคามการใช้ชีวิตของเราอีกครั้ง จนทำให้เทศกาลฉลองคริสมาสและส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่พลันจอดสนิทเพราะพิษหงสากับนักพนัน
ทำให้คาดว่าตลอดเดือนมกราคมนี้การป้องกันตนเองในลักษณะ Work from Home ต้องกลับมาอีกครั้ง และน่าจะคงอยู่ไปตลอดเดือน ม.ค. เป็นแน่ ส่วนจะหยุดเชื้อเพื่อชาติหรือไม่นั้น อย่างน้อยขอให้ทุกท่านคิดใกล้ๆ ไว้ก่อนว่าเราต้องหยุดการแพร่เชื้อ/รับเชื้อ เพื่อตัวเราเองและคนใกล้ชิด ไม่ต้องไปคิดให้มันยิ่งใหญ่
ข้อดีของการไม่ได้ฉลองปีใหม่นอกบ้านคือการมีเวลาให้ตนเองและครอบครัวมากขึ้น และหวังว่าพวกเราคงจะใช้เวลาไปกับอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1. การให้ความรักความอบอุ่นกับคนในครอบครัว 2. การสะสางสมบัติบ้าในบ้านเรา เพื่อหาพื้นที่ว่าง และนำไปบริจาคให้คนอื่น 3. การทบทวนผลการลงทุนและแผนลงทุนในปี 2564
ในที่นี้จะขอสรุปถึงข้อ 3 อย่างสั้นๆ ดังนี้
1. เทรนด์การลงทุนในอนาคตคือ สุขภาพ เทคโนโลยีใหม่ที่คนจะนิยม กระแสการลงทุนเพื่อความยั่งยืนโดยเฉพาะเรื่อง ESG โครงสร้างประชากรที่เกิดไม่ง่ายแต่ตายยาก และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชากรที่เปลี่ยนไป
2. เราควรลงทุนในธุรกิจใดใดก็ตามที่มีนโยบายรองรับข้อ 1 (ไม่ได้จำกัดให้ลงทุนเฉพาะธุรกิจในเซคเตอร์ตามข้อ 1 เท่านั้น เพราะหากธุรกิจอื่นใดที่มีโมเดลรองรับเทรนด์ตามข้อ 1 ได้ดี ก็จะเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองในอนาคต)
3. เราตัองจัดสัดส่วนลงทุนของเราในสินทรัพย์ทางการเงินแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของเราโดยเฉพาะ ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ หรืออื่นๆ อย่างละกี่ %
4. เรามีโอกาสในการกระจายการลงทุนตามข้อ 3 ไปนอกประเทศได้ ให้ใช้โอกาสนั้นด้วย ใครที่ทำไปแล้วในปีก่อนได้คงจะยิ้มได้กว้างขวางเมื่อเห็นผลของมันในปี 2563
5. หากมีรายได้ประจำเป็นเงินเดือน ให้เก็บออมและลงทุนทุกเดือนตามสัดส่วนที่กำหนดในข้อ 3
6. เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินต้องมีไว้เสมอในจำนวนที่เพียงพอสำหรับการใช้ถ้าตกงานสักปี และไม่นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป้าหมายของเงินก้อนนี้คือเงินต้นต้องไม่หาย ทำให้ผลตอบแทนสูงไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะยามฉุกเฉินจะได้มีไว้บรรเทาความยากลำบากได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
7. หากได้รับโบนัส ให้นำไปลดหนี้ให้มากที่สุด และอย่าฟุ่มเฟือย อย่าก่อหนี้เพิ่ม
สุดท้ายนี้ขอให้พวกเราดำรงตนในความไม่ประมาทเพื่อรับเศรษฐกิจปีฉลูให้ได้อย่างมีสติ หากโควิทที่ระบาดอีกในรอบนี้คลี่คลายลงในเดือน ก.พ. ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะไปได้
อนาคตครึ่งหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอก อีกครึ่งหนึ่งมาจากการกำหนดของเราเอง เราจึงสามารถเป็นผู้วาดภาพอนาคตของเราได้
วรวรรณ ธาราภูมิ
ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง จำกัด
3 มกราคม 2564