"...โครงการนี้บอกว่าสถาบันการเงินในไอซ์แลนด์ที่ได้บรรลุความตกลงกับธนาคารกลางไอซ์แลนด์ตามโครงการนี้ จะได้รับการประกันการคืนเงินจากธนาคารกลาง ในอัตราเท่ากับ10%แน่นอน เมื่อสถาบันการเงินนั้นปล่อยสินเชื่อเร่งด่วนให้กิจการต่างๆในไอซ์แลนด์ในจำนวนไม่เกินยอดรายรับในปี2019ของบริษัทที่ได้สินเชื่อนั้น แต่ทั้งนี้ไม่คุ้มครองเลยไปถึงการปล่อยสินเชื่อเกิน40ล้าน ISKแก่ผู้ขอกู้แต่ละราย..."
..............................
ด้วยเหตุที่ไอซ์แลนด์ ดินแดนที่เป็นทุ่งน้ำแข็งอันสวยงาม เป็นอีกหนึ่งประเทศของโลกที่พึ่งพา รายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หนักหนากว่าไทย
กล่าวคือพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวถึง32.60% ต่อจีดีพี
ในขณะที่ไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ราว 21.60%
ดังนั้น ผมจึงค้นคว้าดูว่า ที่ไอซ์แลนด์ เค้าทำโครงการอะไรกันบ้างเพื่อประคองสภาวะผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ไอซ์แลนด์เคยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่ สงบสุขที่สุดของโลก (Global Peace Index) ได้อันดับหนึ่งมาติดต่อกันทุกปีตั้งแต่ปี2008 รวมทั้งปี2018 และปี 2019ล่าสุดนี้ด้วย
อันดับรองๆลงไปคือนิวซีแลนด์ กับเดนมาร์กสลับกันไปมา
พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ครับ
รัฐบาลไอซ์แลนด์กำหนดว่ากิจการใดที่ถูกสั่งล็อกดาวน์ด้วยเหตุป้องกันโควิด19 มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุน ไม่เกิน8แสน ISK (โครนา)ต่อคน หรือไม่เกิน 2.4ล้าน ISKต่อหนึ่งนิติบุคคล
อัตราแลกเปลี่ยนเงินไอซ์แลนด์คือ 1 ISK = 1สลึงไทยโดยประมาณ จริงๆคืออัตรา 1 ISK =0.22บาทไทย กล่าวคือไม่ถึงสลึงด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น ในบทความนี้ คุณผู้อ่านอาจใช้เลข4หารตัวเลขเงิน ISK ก็จะได้เป็นค่าประมาณของเงินบาทของไทยนะครับ คือเอาพอเห็นภาพก็คงพอไหว
โครงการนี้บอกว่าสถาบันการเงินในไอซ์แลนด์ที่ได้บรรลุความตกลงกับธนาคารกลางไอซ์แลนด์ตามโครงการนี้ จะได้รับการประกันการคืนเงินจากธนาคารกลาง ในอัตราเท่ากับ10%แน่นอน เมื่อสถาบันการเงินนั้นปล่อยสินเชื่อเร่งด่วนให้กิจการต่างๆในไอซ์แลนด์ในจำนวนไม่เกินยอดรายรับในปี2019ของบริษัทที่ได้สินเชื่อนั้น แต่ทั้งนี้ไม่คุ้มครองเลยไปถึงการปล่อยสินเชื่อเกิน40ล้าน ISKแก่ผู้ขอกู้แต่ละราย
โดยถ้าวงเงินสินเชื่อไม่ถึง10ล้าน ISK หรือ2.5ล้านบาทไทย รัฐจะการันตีให้ทั้ง100%ของสินเชื่อนั้น
ส่วนที่เกิน10ล้าน-40ล้านISK หรือตั้งแต่2.5ล้านบาทจนถึงไม่เกิน10ล้านบาทไทย รัฐบาลไอซ์แลนด์จะคุ้มครองให้85%
แบงค์ไม่ต้องกลัวถูกลูกหนี้เบี้ยวหรือเจ๊งไปก่อน
ส่วนระยะเวลาของสินเชื่อเพื่อประคองช่วงโควิดระบาดนี้ให้ระยะ30เดือน หรือสองปีครึ่ง ซึ่งเข้าเค้า ว่าโลกน่าจะผ่านโควิดได้สำเร็จแล้วโดยมีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1%
กรณีที่มากกว่า10ล้านISKคือกู้เกิน2.5ล้านบาทไทยต่อรายนั้น ก็อาจให้ตกลงอัตราดอกเบี้ยต่างจากนี้ได้
นี่ก๊อกแรก
ก๊อกถัดไปกำหนดว่า กิจการต่างๆยังสามารถขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อประคองกิจการโดยใช้กองเงินที่รัฐบาลตั้งเตรียมไว้อีก 3.5พันล้านISK เป็นก๊อกที่สอง ประเทศไทยตั้งก๊อกสองนี้ไว้สูงกว่ามากคือ เกือบสองล้านล้านบาท (แต่กิจการฝ่ายไทยยังเข้าถึงได้น้อยมาก )
โดยไอซ์แลนด์ระบุว่า กิจการที่จะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินในโปรแกรมนี้ต้องเป็นกิจการที่สูญเสียรายได้ไปกว่า40% แล้ว จากเหตุโควิด19 และน่าเชื่อว่าเมื่อโควิดหมดไป กิจการนี้จะสามารถทำกำไรได้ และสถาบันการเงินต้องได้เคยเข้าช่วยด้านสินเชื่อให้แก่กิจการนั้นๆมาก่อนตามวิธีปกติแล้ว
แปลว่ารัฐช่วยการันตีลูกค้าเก่าของแบงก์นั่นเอง
สำหรับวงเงินที่จะขอรับการันตีจากรัฐบาลตามก๊อกสองนี้จะไม่เกินสองเท่าของอัตราค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของกิจการนั้นๆ และกิจการนั้นต้องมีค่าจ้างบุคลากรอยู่แล้วไม่น้อยกว่า25%ของรายจ่ายรวมทั้งปีของกิจการด้วย
แปลว่ารัฐบาลไอซ์แลนด์มุ่งจะประคองกิจการที่มีการจ้างงานคนเยอะๆก่อน
พวกกิจการที่ใช้หุ่นยนต์แทนคน ใช้โปรแกรมทำงานแทน หรือใช้ระบบออนไลน์มากโดยไม่ค่อยจ้างคน ยังไม่ใช่กิจการเป้าหมายตามโครงการนี้
การการันตีโดยรัฐตามก๊อกสองนี้ มีระยะเวลา 18 เดือน ถ้าเลยเวลา18เดือนเมื่อไหร่ สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อต้องรับความเสี่ยงต่อไปบริหารเอาเอง
สินเชื่อก้อนนี้ตั้งเป้าหมายให้กิจการนำไปจ่ายค่าแรงงาน จ่ายค่าเช่า จ่ายค่าประคองรักษาทรัพย์สินของกิจการเป็นสำคัญ และมีข้อกำหนดมิให้นำไปจ่ายเป็นเงินปันผล ห้ามซื้อหุ้น และข้อห้ามนี้ก็หมายรวมไปถึงบรรดาสถาบันการเงินที่เป็นผู้รับเงินทุนกองนี้ไปปล่อยสินเชื่อด้วย
ในการนี้ รัฐมนตรีคลังไอซ์แลนด์ตั้งคณะกรรมการกำกับกระบวนการปล่อยสินเชื่อตามโครงการพิเศษนี้ ซึ่งกำหนดกติกาเพิ่มว่าให้เงินกองทุนนี้แบ่งปล่อยตามขนาดกิจการโดยนับจากจำนวนพนักงานที่ผู้กู้จ้างอยู่
คือ 1.กิจการที่จ้างพนักงานน้อยกว่า20คน
2.กิจการที่จ้างพนักงาน20-100คน
3.กิจการที่จ้างพนักงาน100-250คน
และ4. กิจการที่จ้างพนักงานเกิน250คน
กล่าวคือเน้นอัดฉีดเพื่อประคองการมีงานทำของ"คน" ไม่ใช่มุ่งพยุงที่ จีดีพี นั่นเอง
เพราะจีดีพีบอกความมั่งมีของภาพรวม ไม่ใช่ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
จีดีพีไม่สามารถตอบว่ามีความเหลื่อมล้ำมากหรือน้อย มีการกระจายโอกาสถึงคนตัวเล็กตัวน้อยและคนชายขอบที่มักถูกลืมหรือไม่
ไอซ์แลนด์เข้าอกเข้าใจดีว่า จะต้องปฏิรูประบบคิด ระบบกฏหมาย ระบบราชการให้รับมือโควิดให้ทัน สิ่งที่ทำรอบนี้จึงอาศัยการบัญญัติกฏหมายออกมาใหม่เพื่อรองรับ
ไปดูก๊อกที่สามและสี่กันครับ
ก๊อกสามคือ กิจการใดในไอซ์แลนด์ที่จดจัดตั้งก่อน1ธันวาคมของปี2019 คือตั้งขึ้นประกอบการก่อนโควิดระบาดมาครบหนึ่งปี และได้สมัครขอเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างทางการเงินกับทางการ ได้แล้ว จะได้รับการคุ้มครองชั่วคราวจากการถูกฟ้องล้มละลาย การบังคับขายสินทรัพย์ การยึดอายัดทรัพย์โดยเจ้าหนี้
แต่กิจการนั้นต้องได้จ่ายค่าจ้างลูกจ้างครบจำนวนมาตลอดระหว่างสามเดือนแรกที่โควิดระบาดคือ ธันวา2019-สิ้นกุมภา2020 และบัญชีบริษัทมีแนวโน้มชัดเจนว่า ทรัพย์สินของกิจการจะถูกรายจ่ายและต้นทุนเข้าท่วมท้นในสองปีข้างหน้า
แปลว่าช่วยเถ้าแก่ที่ใจถึง ดูแลพนักงานดี ไม่ลดค่าจ้างในช่วงแรกทันที แต่มีรายจ่ายท่วมคอและจะท่วมจมูกแน่ๆในไม่ช้า
โดยให้กิจการนั้นส่งแผนการบริหารนับแต่1เมษา2020ที่เริ่มล็อกดาวน์มาแสดงว่า รายได้หดตัวลงถึง75%จากสภาวะปกติ
ดังนั้นพวกร้านขายคอมพิวเตอร์ ร้านขายทีวีจอใหญ่ เลยไม่เข้าข่าย เพราะช่วงล็อกดาวน์ ทีวีและคอมพิวเตอร์ขายดีขึ้นเกิน30%!!
แปลว่าก๊อกนี้มีไว้ให้ผู้ที่ถูกโควิดกระแทกตรงๆและเต็มๆได้มีที่ยืนพิงฝาพักขาชั่วคราวไปสักพัก
แต่การจะพิงฝานี้ได้ ต้องอาศัยคำสั่งศาลเป็นรายๆไป และจะคุ้มครองได้นานสามเดือนในแต่ละคราวเท่านั้น
ก๊อกนี้ ไอซ์แลนด์รวมพลังทั้งทางรัฐสภา รัฐบาล และศาลมาทำผนังพิงชั่วคราวให้ในช่วงโควิด เพราะสิ่งที่ทำนี้ ไม่เคยมีทำกันมาก่อน และย่อมทำให้เจ้าหนี้ต่างๆต้องเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจากบีบยึดเอาทรัพย์สินไปจากลูกหนี้ไม่ได้ชั่วคราว
ก๊อกนี้เป็นตัวอย่างที่ยังไม่เคยมีมาก่อน และน่าสนใจครับว่าผลจะเป็นอย่างไรบ้าง
ทีนี้มาก๊อกที่สี่ นี่ก็ออกกฏหมายผ่านสภามาให้ใหม่เลย
โดยระบุว่าลูกจ้างที่ต้องถูกการกักตัว14วันโดยไม่ได้รับเงินเดือนจากนายจ้างนั้น รัฐบาลไอซ์แลนด์จะเข้ามาจ่ายเงินเดือนให้แทนสำหรับช่วงการกักตัวนั้น อันนี้เพื่อดึงดูดให้ผู้ต้องถูกกักตัวไม่ฝ่าฝืนมาตรการที่รัฐกำหนด แต่จะได้ไม่เกินรายละ633,000 ISK ในแต่ละเดือน เช่นลูกจ้างไปเดินห้าง แล้วมีข่าวว่ามีคนติดเชื้อมาเดินห้างเดียวกัน ทุกคนที่เคยไปห้างในช่วงนั้นจะถูกเรียกตัวไปกักหรือถูกสั่งให้ขังตัวเองที่บ้าน แบบนี้ลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมงหรือลูกจ้างที่ใช้วันลาไปหมดแล้วย่อมไม่ได้ค่าจ้างจากนายจ้าง ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเกรงจะหนีการกักตัวเอง แล้วดันทุรังไปทำงาน อันจะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อได้
รัฐบาลไอซ์แลนด์จึงเลือกว่าจะจ่ายให้เองดีกว่าสำหรับช่วงกำหนดกักตัว
บังเอิญว่าประเทศไอซ์แลนด์นั้นแม้จะมีพื้นที่กว้างใหญ่แต่มีประชากรน้อยแค่ไม่ถึงสี่แสนคน จึงคาดการณ์ว่าแม้รวมผู้มีอาชีพรับจ้างอิสระเข้ากับลูกจ้างเอกชนทั้งหมดแล้ว ก็น่าจะมีผู้มาขอใช้ประโยชน์จากกฏหมายก๊อกสี่นี้ราว140,000คนเท่านั้นเอง
อันนี้จึงต่างจากไทย ที่แจกฟรีเดือนละห้าพันบาทเป็นเวลา3เดือน สำหรับคนที่ต้องถูกล้อคดาวน์ หลายสิบล้านคน
แต่ข้อนี้ช่วยให้เรารู้ว่า ในต่างประเทศเค้าตอบสนองสถานการณ์กันต่างไปอย่างไร
ไม่ได้แปลว่าเค้าทำดีกว่านะครับ เพราะเงื่อนไขและโครงสร้างภาษีในแต่ละที่ย่อมแตกต่างกันเสมอ ไอซ์แลนด์มีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเริ่มที่ 35.04-46.24% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีของไทยมากๆ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทย อัตราสูงสุดยังอยู่ที่35%เท่านั้น
และไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ใช้เงินดิจิทัลแพร่หลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้นกิจการที่อยู่นอกระบบจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตรงข้ามกับไทยมาก ไทยมีกิจการในระบบฐานภาษีน้อยกว่าเศรษฐกิจนอกระบบแบบเทียบกันได้ยาก
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้อ่านมีจินตนาการกว้างขึ้นเกี่ยวกับมาตรการที่น่าสนใจในช่วงโควิดระบาด ประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งมักจะจ้างงานคนไว้เป็นจำนวนมาก หรือมีห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและลงถึงรากฐานของคนเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ รายเล็กๆที่ให้บริการนำส่งวัตถุดิบ การรับจ้างทำความสะอาด การรับซักรีด การขายของที่ระลึก คนขับยานพาหนะซึ่งเป็นงานที่คนฐานรากพอจะเข้าถึงได้ต่อเนื่องง่ายกว่าอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ การได้เห็นระบบสินเชื่อที่พยายามตามไปเข้าใจวิถีของประชากรของระบบจึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านการเงินในไทยไปด้วยนั่นเอง
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา