"...นี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไห ที่เทราดลงไป ขณะที่ม็อบของคนรุ่นใหม่กำลังจุดติด ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการผูกขาดอำนาจ ต่อต้านพวกทุจริต ต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้คนตกงาน เศรษฐกิจล้มเหลว หรือต่อต้านเผด็จการ ทั้งหมดคือภาพรวมของการต่อต้านสังคมที่อยุติธรรมนั่นเอง..."
เรื่องขับรถชนคนตาย เป็นเรื่องสามัญ (common) ที่คนรู้เห็นและเข้าใจกันทุกชนชั้น ทั้งประเทศ
แต่การที่จำเลยไม่ถูกสั่งฟ้อง เพราะสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดและไม่มีใครเข้าใจได้เลย
แทนที่จะช่วยโดยทำสำนวนว่า ประมาทร่วมและได้ช่วยเหลือครอบครัวผู้ตายอย่างดีแล้วปล่อยให้ไปศาลแล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญา
ดังนั้น อัยการที่ไม่สั่งฟ้อง และตำรวจที่ไม่ทำความเห็นแย้ง ซึ่งทั้งคู่เป็นองค์กรหลักในกระบวนการยุติธรรมที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นความล้มเหลว และหมดหวังที่จะพึ่งได้อีกจากคนทั้งประเทศที่รับรู้เข้าใจเรื่องง่ายๆนี้หมดทุกคน และจะทำให้ระบบความยุติธรรมหมดความหมาย ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าเศรษฐกิจก็ล้มเหลว การแพร่ระบาดของโควิดก็คุกคาม สังคมก็แตกแยก คนเบื่อและเกลียดรัฐบาลมากขึ้น
การเมืองก็แย่งผลประโยชน์และคนรู้สึกว่ามีแต่นักการเมืองนำ้เน่าที่แก่งแย่ง หน้าไม่อายและกอบโกย คอร์รัปชันไม่ต่างจากยุคก่อนๆ
อย่างเดียวที่รัฐบาลใช้เป็นหลักพิงประคองตัวอยู่ได้คือ Law and Order (กฎหมายและคำสั่ง) บัดนี้คนส่วนใหญ่เห็นว่า กฎหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิและไม่น่าเคารพเชื่อฟังอีกแล้ว
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องประชาชนทุกภาคส่วนรุมกันด่าตำรวจหรืออัยการ แล้วพอผ่านไปสองอาทิตย์ก็จบ
แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายลงของรัฐบาล ซึ่งคาดว่า จะมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคนโยง และชาวบ้านเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรับเงินบริจาค 300ล้าน เพื่อช่วยเหลือการแพร่ระบาดของโควิด-19จากเขาเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้
(ข้อเท็จจริงคือนายเฉลิม อยู่วิทยาทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่า บริจาคเงิน 300 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลต่างๆ อ่านรายละเอียด https://www.thaipost.net/main/detail/64701)
นี่ไม่ใช่น้ำผึ้งหยดเดียว
แต่เป็นน้ำผึ้งทั้งไห ที่เทราดลงไป ขณะที่ม็อบของคนรุ่นใหม่กำลังจุดติด ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการผูกขาดอำนาจ ต่อต้านพวกทุจริต ต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้คนตกงาน เศรษฐกิจล้มเหลว หรือต่อต้านเผด็จการ ทั้งหมดคือภาพรวมของการต่อต้านสังคมที่อยุติธรรมนั่นเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไม่รับรู้ ไม่ตั้งใจ แต่timing(ช่วงเวลา)ที่มาคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟที่เพิ่งจุดติดแค่กองเล็กๆจากการชุมนุมของนักศึกษาเท่านั้น และมันจะทำให้เกิดกองไฟลุกท่วมประเทศในเวลารวดเร็วมาก
โอกาสเดียวที่นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหลุดรอดและพารัฐบาลออกจากพายุอารมณ์และความโกรธแค้นของผู้คนทั้งประเทศได้ คือ การออกมาพูดโดยเร็วที่สุดว่า รัฐบาลไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เรื่องนี้
แต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมไม่ใช่จะมาพูดว่ารัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม
เพราะperception (ความเข้าใจ) ของคนทั้งประเทศ เห็นรัฐบาลสั่งได้หมดมาตั้งแต่ช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แล้ว และนายกฯจะตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบกระบวนการเรื่องนี้ทั้งหมด จากคนที่สังคมไว้วางใจ โดยให้ทำให้เร็วที่สุดสักสองสัปดาห์ และประกาศว่า ถ้าพบว่ามีอะไรผิดพลาด ทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ จะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงที่สุดเพื่อเรียกศรัทธาและความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมกลับมา และทำให้มี Law and Order ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่คำ้จุนรัฐบาลนี้ในเวลานี้กลับคืนมา
เป็นหลักเดียวที่รัฐบาลจะใช้ค้ำจุนตนเองต่อไปได้ครับ
**************
อนึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 63 ที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงว่า ตามที่ปรากฏข่าวต่อสาธารณะทางสื่อต่างๆเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นทางคดีความที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 63 ซึ่งกรณีดังกล่าวมีข้อความสำคัญบางส่วนที่อาจสื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นจากข้อเขียนของ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญขอเรียนชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวยังมีความคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญเกี่ยวกับที่มาของข้อความ เพื่อความเข้าใจในข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง สำนักงานฯจึงขอเรียนมาเพื่อโปรดทราบว่า ความคิดเห็นดังกล่าวได้รับการยืนยันจาก นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นความคิดเห็นที่มีที่มาจากข้อเขียนทางวิชาการของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ มิใช่ความคิดเห็นที่เป็นข้อเขียนของ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจของศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แต่อย่างใด จึงเรียนชี้แจงมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage