"...ทั้ง 3 ข้อนี้ จะเป็นการยกระดับความมั่นใจและความศรัทธาของประชาชนในเป้าหมายขจัดสภาวะ ‘แร้งลง-รุมทึ้ง-เชื้อชั่วไม่ยอมตาย’ ไม่ให้มาแผ้วพานกับเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท..."
พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทมีมิติใหม่ขึ้นมาประการหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีควรจะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นั่นคือได้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา 7 ให้มี ‘คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้’ ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ปกติในพระราชกำหนดกู้เงินลักษณะนี้ฉบับก่อน ๆ จะไม่มีบัญญัติไว้ โดยจะไปอยู่ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ตราขึ้นตามพระราชกำหนดนั้น ๆ
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0001.PDF
“มาตรา 7 เพื่อประโยชน์ในการพิจารณากลั่นกรองและอนุมัติการใช้จ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามมาตรา 5 และมาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ประกอบด้วย เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ปลัดสานักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสานักงบประมาณ ผู้อำนวยการสานักงานบริหารหน้ีสาธารณะ ผู้อำนวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ ให้รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคนหน่ึงซึ่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย เป็นเลขานุการ และผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสานักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นผู้ช่วยเลขานุการร่วม โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับผิดชอบงานวิชาการและธุรการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้....”
(มาตรา 7 วรรคแรก / พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกจิและสังคม ที่ได้รับกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563)
จะเห็นได้ว่ายังได้กำหนดให้มีสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิถึง 5 คนในคณะกรรมการกลั่นกรองฯ
ประเด็นนี้เป็น ‘มิติใหม่’ จริง ๆ !
แม้ว่าโครงสร้างของคณะกรรมการกลั่นกรองฯทั้งหมด 11 คนจะมาจากภาคราชการเสีย 6 คน เป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะหากนายกรัฐมนตรีตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกระบบราชการโดยให้มาจากผู้มีประสบการณ์ในภาคประชาสังคมก็จะทำให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯเป็นที่รวมภูมิปัญญามากขึ้น สามารถกลั่นกรองโครงการในส่วนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนทั่วประเทศ 4 แสนล้านบาทได้อย่างตอบโจทย์มากขึ้น
ทราบว่าขณะนี้นายกรัฐมนตรีตั้งไปเพียง 1 คน
เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มาจากภาคราชการอีกนั่นแหละ
หากนายกรัฐมนตรีใช้โควต้าที่เหลือในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒินี้ แต่งตั้งบุคคลจากภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมทำงานในคณะกรรมการชุดที่มีความสำคัญยิ่งนี้ เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน และตอบคำถามฝ่ายการเมืองในทั้ง 2 สภาได้อย่างองอาจ
นี่เป็นข้อแรกที่ทำได้ และควรต้องทำทันที
เพราะขณะนี้การคิดโครงการจากกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ในสัดส่วน 4 แสนล้านบาทมีความเข้มข้นมาก ขณะที่ภาคประชาสังคมก็มีข้อเสนอจำนวนไม่น้อย หากรวม ๆ แล้วเกินวงเงินแน่ จะมีหลักการในการคัดเลือกอย่างไร โดยเฉพาะหลักการที่จะทำให้โครงการเหล่านี้สามารถผลิดอกออกผล ไม่เป็นเบี้ยหัวแตก หรือแบ่งปันกันไปตามโควต้ากระทรวง เหมือนโควต้ารัฐมนตรีตามพรรคตามมุ้งที่เป็นความปกติเดิม ๆ ของสังคมไทย
ข้อต่อมาที่สามารถทำได้เช่นกัน คือการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดําเนินการตามแผนงานหรือโครงกการภายใต้พระราชกำหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 ที่ออกตามความในมาตรา 7 วรรคสาม แห่งพระราชกำหนดฉบับนี้ ให้มีความเข้มข้นขึ้น ในระดับเทียบเท่าหรืออย่างน้อยก็น้อง ๆ การใช้งบประมาณรายจ่ายในกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยเฉพาะการนำเนื้อหาในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 มาประยุกต์บรรจุไว้เท่าที่สามารถจะทำได้
ปัจจุบันมีระเบียบฯนี้ออกมาแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2563
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/093/T_0001.PDF
แต่เนื้อหาสาระยังคงใกล้เคียงกับระเบียบฯฉบับเดิม ๆ ที่ออกตามพระราชกำหนดกู้เงินลักษณะนี้ในอดีต
จะเป็นไปได้ไหมว่าเมื่อมีการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคประชาสังคมเข้ามาอีก 4 คนเข้ามาเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองฯแล้ว ก็ให้คณะกรรมการกลั่นกรองฯพิจารณาเสนอแนะนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังฉบับนี้ต่อไป โดยนำสารัตถะที่ได้จากการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามาประกอบการพิจารณาด้วย
และข้อสุดท้าย คือตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบการใช้เงินตามข้อเสนอของท่านส.ว.ประมนต์ สุธีวงศ์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ทรงคุณค่ายิ่งจากสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากภาคธุรกิจเอกชนและมีบทบาทสำคัญต่อเนื่องในการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบมาโดยตลอด ทำให้รัฐบาลมี ‘ตัวช่วย’ ที่มีประสิทธิภาพและทรงพลัง
ทั้ง 3 ข้อนี้ นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ทันทีตามลำดับ 1 - 2 - 3 ที่เสนอมา
ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นการเพิ่มบทบาทให้กับภาคประชาสังคมและภาคประชาชนที่ควรจะต้องเป็นความปกติใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดินยุคหลังมหาวิกฤตโควิด-19 และเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ทั้ง 3 ข้อนี้ จะเป็นการยกระดับความมั่นใจและความศรัทธาของประชาชนในเป้าหมายขจัดสภาวะ ‘แร้งลง-รุมทึ้ง-เชื้อชั่วไม่ยอมตาย’ ไม่ให้มาแผ้วพานกับเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท
คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา
24 พฤษภาคม 2563
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2988874051156529&id=100001018909881