“...กระผมคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยทรัพยากรและศักยภาพที่กระผมและบริษัทฯมีในปัจจุบันจะสามารถช่วยเหลือภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ประเทศไทย และประชาชนชาวไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน…”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 5 พ.ค. บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกของ นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ตอบกลับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กรณีทำหนังสือลงวันที่ 20 เม.ย.2563 ส่งถึงบรรดามหาเศรษฐีไทย 20 คน
กระผม นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งผู้บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยโดยมีทะเบียนรถเป็นประกัน ตามใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับการของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมจำนวน 4,389 สาขา มีจำนวนพนักงาน 10,000 คน และมีจำนวนลูกค้า กว่า 2.5 ล้านคน โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าประกอบอาชีพเกษตรกร พนักงานโรงงาน รับจ้างทั่วไป และผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำ
ภายใต้สภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งได้แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ กระผมตระหนักดีถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ รวมถึงประชาชนทั่วไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางบริษัทได้เริ่มดำเนินการช่วยเหลือประชาชนทั่วไปแล้ว ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังต่อไปนี้
1.สิ่งที่บริษัทได้ดำเนินการไปแล้ว
1.1 การให้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการช่วยเหลือลูกค้า โดยได้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้า 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ เม.ย.เป็นต้นไป , ลดค่างวดไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของค่างวดปกติเป็นเวลา 6 เดือน และลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (ไม่มีหลักประกัน) สำหรับลูกค้าที่มีประวัติการชำระดีลง 6% หรือคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 22% โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว 142,147 คน
1.2 การร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อสู้โควิด-19 จำนวน 60 ล้านบาท เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, โรงพยาบาลรามาธิบดี, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
2.โครงการที่บริษัทกำลังจะดำเนินการเพิ่มเติม
2.1 การจัดสรรและแจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 200,000 ถุง มูลค่า 60 ล้านบาท โดยมอบผ่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 53,000 ถุง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน 600 ชุมชนใน กทม. และมอบผ่าน รมว.มหาดไทย เพื่อมอบให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ถุงยังชีพ จะประกอบด้วย ข้าวสาร อาหารแห้งต่างๆ ได้แก่ น้ำปลา ปลากระป๋อง น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มูลค่าถุงละ 300 บาท โดยประสานกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการส่งมอบถุงยังชีพต่อไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งมอบได้ภายในไม่เกิน 25 พ.ค. 2563
2.2 การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในจังหวัดสุโขทัย ผ่านสาธารณสุขจังหวัด จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อสู้กับโควิด-19 รวมไปถึงใช้สำหรับสร้างอาคารผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอำเภอด่านลานหอย โดยกำหนดมอบผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขภายในไม่เกินวันที่ 25 พ.ค. 2563
2.3 การเปิดพื้นที่อาคารสำนักงานทุกแห่งของบริษัทให้เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตร และ OTOP ซึ่งมีจำนวน 4,389 แห่ง อยู่ในย่านชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนที่มีความเดือดร้อนสามารถนำสินค้ามาวางจำหน่ายได้
2.4 การเป็นศูนย์กระจายความช่วยเหลือให้แก่ประชาชน โดยจะใช้เครือข่ายสาขาของบริษัท ที่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน สามารถเป็นช่องทางการกระจายการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชนต่างๆ ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
2.5 นโยบายการจ้างงาน และความปลอดภัยสำหรับพนักงาน 10,000 คนของบริษัท พร้อมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงานและครอบครัวมั่นใจได้ว่า บริษัทฯ จะไม่ทอดทิ้งพนักงาน ไม่มีนโยบายลดจำนวนพนักงาน ลดชั่วโมงทำงานหรือเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน บริษัทมีนโยบายรับพนักงานเพิ่มขึ้น 1,000 คนเพื่อรองรับการเปิดสาขาในอนาคต
3.ข้อเสนอเพิ่มเติม
นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นนโยบายเชิงจุลภาคในการช่วยเหลือประชาชนแล้ว กระผมขออนุญาตนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงมหภาคว่าด้วยนโยบายของทางภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้ภาคเอกชน : Corporate Stabilization Fund (BSF) เพื่ออุ้มตลาดตราสารหนี้โดยการรับซื้อตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มน่าลงทุน (Investment Grade) ที่ถึงกำหนดไถ่ถอน
ทั้งนี้ กระผมมีความเห็นว่า ผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มดังกล่าวอาจไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดตราสารหนี้อย่างรุนแรงเท่ากับผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มที่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade ซึ่งในที่นี้รวมทั้งตราสารหนี้ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือลงมาจากระดับ Investment Grade ด้วย ซึ่งหากตราสารหนี้กลุ่มดังกล่าวเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จะก่อให้เกิดความผันผวนที่แท้จริงในตลาดตราสารหนี้ อันส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของสถาบันการเงินและประเทศต่อไป จึงขอให้กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้ภาคเอกชน : Corporate Stabilization Fund (BSF) ที่จัดตั้งขึ้นนั้นให้การช่วยเหลือครอบคลุมถึงผู้ออกตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าระดับ Inestment Grade ด้วย
กระผมคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยทรัพยากรและศักยภาพที่กระผมและบริษัทฯมีในปัจจุบันจะสามารถช่วยเหลือภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ประเทศไทย และประชาชนชาวไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณาต่อไป
ขอแสดงความนับอย่างสูง
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ