"...คิดเป็นตัวเงินแบบง่ายๆ ผลผลิตประชาชาติหรือ GDP ของไทยในปี 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 16.8 ล้านล้านบาท หรือ เดือนละ 1.4 ล้านล้านบาท ถ้าความเสียหายทางเศรษฐกิจในช่วงล็อกดาวน์มีแค่ 40% ของ GDP ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อเดือนจะมากถึง 560,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน หากรวมค่าเยียวยาที่รัฐบาลต้องกู้เงินมาชดเชยให้แก่ประชาชนด้วย ซึ่งในอนาคตก็จะเป็นภาระแก่ลูกหลานคนไทยทุกคน จะทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการขยายการล็อกดาวน์ออกไปเพียงเดือนเดียวเทียบเคียงได้เท่ากับความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกสมัย 6 ปีที่แล้วทั้งโครงการเชียวละ..."
ตอนที่โคโรน่าไวรัสเริ่มระบาดชัดเจนในประเทศไทย ในเดือนม.ค. 2563 ถ้าท่านทั้งหลายยังจำเหตุการณ์ได้ดีว่าการจัดการรับมือของรัฐบาลไทยกับโรคระบาดที่หน้าตาใหม่สุดนี้มีลักษณะหันรีหันขวางอยู่เป็นนาน มีทั้งข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นในเรื่องหน้ากากอนามัย ทำให้เกิดการขาดแคลนอย่างหนักในประเทศ มีข่าวการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2563 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในข่าวดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับประชาชนนั้น
ถัดมาในวันอังคารที่ 10 มี.ค. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการที่เป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรกในการเข้ามาดูแลผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนจากไวรัสโคโรน่า ระยะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรการด้านภาษีและด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และเป็นครั้งแรกที่ ครม. ได้เห็นชอบให้กำหนดวงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมไว้สำหรับช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศต่างๆทั่วโลกได้เริ่มใช้มาตรการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์ (Lockdown) ตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. แต่การต่อสู้กับโควิด 19 ของรัฐบาลไทยก็ยังหน่อมแน้มอยู่
และแล้วในวันที่ 25 มี.ค. ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ตัดสินใจประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยตัวท่านนายกรัฐมนตรีเข้ามาทำหน้าที่บัญชาการจัดการไวรัสโควิด 19 ทุกมิติอย่างเต็มตัว ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. – 30 เม.ย. 2563
บัดนี้การบริหารตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินกำลังจะครบเดือนแล้ว โดยประเทศได้อยู่ในระบบล็อกดาวน์เต็มที่ และก็ปรากฎผลชัดเจนแล้วว่า การระบาดของโคโรน่าไวรัสในประเทศไทยได้กลับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว โดยได้รับคำชมจากประเทศอื่นๆทั่วโลก ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มแต่ละวันกำลังลดลงใกล้จะเป็นตัวเลขตัวเดียวแล้ว แต่สิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าที่อดทนและอึดอัดกันมานานกำลังพูดถึงมากในขณะนี้ คือ “การปลดการล็อกดาวน์” ออกไป
ดูเหมือนว่าเมื่อมีมิติใหม่เข้ามาคราใด รัฐบาลไทยจะออกอาการพะวักพะวงและหันรีหันขวางเสียทุกที ฟังตามข่าวที่ท่านนายกได้มอบให้ท่านรองนายกอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งรับผิดชอบเป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุขไปเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการปลดล็อกดาวน์ ผลออกมาแล้วสรุปได้ว่าจะแบ่งพื้นที่ทั้งประเทศเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ บางจังหวัดอาจปลดล็อกดาวน์หลังสิ้นเดือนเม.ย.นี้ บางจังหวัดเป็นกลางเดือนพฤษภาคม และกลุ่มสุดท้ายเป็นต้นเดือนมิถุนายน
ถ้าหากรัฐบาลเห็นด้วยตามนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการรับฟังตามคณะกรรมการที่เป็นหมอเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็น่าจะมีเหตุผลเพราะบุคลากรที่ใส่เสื้อกาวน์ของประเทศเป็นผู้ที่ควรยกย่องมากที่สุด ในการทุ่มเทต่อสู้เพื่อเอาชนะโควิด 19 อย่างที่ได้เห็นชัดเจนกันแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ควรที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องรับฟังความเห็นจากบุคคลฝ่ายอื่นด้วย โดยเฉพาะจากนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจทั้งหลาย เพราะเขารู้ดีว่า การล็อกดาวน์ที่ประชาชนยอมให้นำมาใช้เพื่อต่อสู้กับไวรัสร้ายนี้ ในอีกด้านหนึ่งได้ทำความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ วันหนึ่งๆร่วม 20,000 ล้านบาท หรือเดือนหนึ่งประมาณ 560,000 ล้านบาท ดังนั้น จะฟังความข้างเดียวคงไม่ได้แน่
การประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการที่ประเทศถูกล็อกดาวน์ทำได้ไม่ยาก ขอให้ไล่ดูผลกระทบ (Disruption) แต่ละสาขาการผลิตก็พอรู้ เช่น การท่องเที่ยวทั้งหมดเกือบ 100% การคมนาคมไม่รวมการขนส่งสินค้า 90% การค้าปลีกและส่งโดนหนักอาจถึง 70% การบันเทิงและสันทนาการ 90% การผลิตด้านอุตสาหกรรม 25% การเกษตรอาจถูกกระทบน้อยเพียง 20% เป็นต้น สรุปแล้วผลกระทบจากล็อกดาวน์ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 40% ของ GDP ปกติ
คิดเป็นตัวเงินแบบง่ายๆ ผลผลิตประชาชาติหรือ GDP ของไทยในปี 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 16.8 ล้านล้านบาท หรือ เดือนละ 1.4 ล้านล้านบาท ถ้าความเสียหายทางเศรษฐกิจในช่วงล็อกดาวน์มีแค่ 40% ของ GDP ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อเดือนจะมากถึง 560,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน หากรวมค่าเยียวยาที่รัฐบาลต้องกู้เงินมาชดเชยให้แก่ประชาชนด้วย ซึ่งในอนาคตก็จะเป็นภาระแก่ลูกหลานคนไทยทุกคน จะทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการขยายการล็อกดาวน์ออกไปเพียงเดือนเดียวเทียบเคียงได้เท่ากับความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกสมัย 6 ปีที่แล้วทั้งโครงการเชียวละ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ดังนั้น หากรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องนี้ก็จะทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นเงินมหาศาล จะมาอ้างเป็นความผิดของนโยบายคงไม่ได้ง่ายนัก
ใคร่ขอแนะนำว่าในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้ หากการเพิ่มของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของไทยต่ำกว่าจำนวนคนไทยที่ฆ่าตัวตายรายวันเมื่อใด ก็ควรถือเป็นวันปลดล็อกดาวน์ได้แล้วนะครับ