"...ปัญหาที่อาจจะมีคือ แรงงานส่วนใหญ่มาทำงานเพื่อเก็บเงินและส่งเงินกลับประเทศ การอยู่อาศัยและการกินอยู่มีลักษณะที่ประหยัด ชุมชนแรงงานต่างด้าว ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านการเคหะฯ แฟลตล้งกุ้ง แถว สมุทรสาครอยู่อย่างแออัด ห้องหนึ่งนอน 3-5 คน นอนตามช่องทางเดินอาคาร เป็นต้น ถ้าบังเอิญเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นมาในชุมชนเหล่านี้ บางแห่งมีคนงานต่างด้าวอยู่เป็นหมื่นคน จะให้กักตัวอยู่แต่ในอพาร์ทเม้นท์เพื่อสังเกตอาการ 14 วัน เขาคงปฏิบัติตาม Social distancing ลำบาก เพราะว่าไม่มีที่ให้เขาทำเช่นนั้นได้..."
ในภาวะที่โรคระบาดโควิด-19 กระจายไปทั่วโลก คนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศถึง 119 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาอันเนื่องมาจากเกือบทุกประเทศมีมาตรการปิดประเทศ ปิดชายแดน ปิดการบินระหว่างประเทศ งดกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างกับคนอื่นและ/หรือสมาชิกในครอบครัว ซึ่งรู้กันในเทอม Social distancing
สำหรับแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศมากกว่า 142,000 คน ซึ่งในเอเชีย มีจำนวนคนไทยเดินทางไปทำงานในกลุ่มประเทศเอเชียใต้มากที่สุดมากกว่า 1 แสนคน กลุ่มประเทศรองลงมาคือในทวีปยุโรป อเมริกา มากกว่า 6,000 คน ตามด้วยกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมากกว่า 27,000 คน และสุดท้ายคือกลุ่มประเทศแอฟริกามีมากกว่า 700 คน คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาต้องกักตัวเองมานานนับเดือนและกำลังเผชิญกับปัญหาขาดรายได้และเงินสะสมเริ่มร่อยหรอ บางคนโชคดีถ้านายจ้างมีความรับผิดชอบสูงจะจัดอาหาร เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้ประทังชีวิต แต่ถ้าไม่มีความรับผิดชอบจากนายจ้างและไม่สามารถกลับประเทศได้ เช่น ประเทศที่แรงงานคนไทยไปอยู่มาก อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอิสราเอล เป็นต้น คงต้องพึ่งเจ้าหน้าที่แรงงานของกรมการจัดหางานและเจ้าหน้าที่สถานทูตที่จะต้องคอยสอดส่องดูแลให้พวกเขาอยู่ได้โดยไม่อดอยาก เจ้าหน้าที่ไทยควรจะมองหาช่องทางเจรจากับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆ ให้แรงงานที่เดือดร้อนได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดีคงพอช่วยเหลือได้
แต่ที่สำคัญคือ ผลจากโควิด-19 ในประเทศนั้นจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน ถ้านานเกินไปบางกลุ่มของอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงไปทั้งๆ ที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ยุติ ถ้าเป็นเช่นนั้นแรงงานไทยอาจจะถูกกระทบโดยตรงและต้องออกจากงาน ในที่สุดก็ต้อง “ร้องขอกลับประเทศ” ถ้าเป็นหลายพันคนขอกลับประเทศ เมื่อนั้นจะเป็นภาระหนักสำหรับประเทศไทยอีกระลอกหนึ่ง
ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซียกำลังอยู่ในระยะที่จำนวนผู้ป่วยจากโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มขึ้นทวีคูณ แน่นอนว่า 2 ประเทศนี้จะยิ่งต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดทุกรูปแบบที่จะหยุดยั้งให้การแพร่กระจายของโรคอยู่ในวงจำกัด นั่นหมายความว่า จะมีคนไทยที่ทำงานอยู่ในสิงคโปร์และ/หรือมาเลเซียที่กิจการปิดตัวลงชั่วคราว ในที่สุดต้องเดินทางกลับประเทศไทยเหมือนเช่นที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนี้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยที่ไปทำงานที่สิงคโปร์และมาเลเซียที่ถูกกฎหมายมีเพียง 2 พันคน และ 3 พันคนเศษ ตามลำดับ โดยเฉพาะมาเลเซียเชื่อว่ามีแรงงานไทยเข้าไปทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตมากกว่า 2 หมื่นคน ถ้าธุรกิจที่คนไทยเหล่านี้ไปทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน เช่น งานการเกษตรและงานตามร้านอาหารปิดตัวลงเป็นเวลานาน พวกเขาจะขอเดินทางกลับเข้าประเทศไทยโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าต้องกลับเข้ามาเป็นจำนวนหลายพันคนภาระของรัฐบาลในการวินิจฉัยโรค เฝ้าระวังโรค รวมทั้งการกักกันตัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเทียบกับกำลังของสถานพยาบาลที่มีจำนวนไม่มากเหมือนจังหวัดอื่น เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ต้องเตรียมรับมือเอาไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีความน่ากังวลมากกว่าเรื่องคนไทยกลับจากต่างประเทศ คือ เรื่องการดูแลกิจการที่อาจจะกระทบแรงงานต่างด้าวมากกว่า 2.7 ล้านคนจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่มาจาก 3 ประเทศรอบบ้านเราคือ เมียนมาที่มีมากกว่า 1.8 ล้านคน กัมพูชามากกว่า 6.5 แสนคน และ สสป.ลาวมากกว่า 2.8 แสนคน กระจายอยู่แทบทุกจังหวัดของประเทศไทย มีทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทำกิจการส่งออกตามจังหวัดชายทะเล ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกระจุกตัวในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
ปัญหาที่อาจจะมีคือ แรงงานส่วนใหญ่มาทำงานเพื่อเก็บเงินและส่งเงินกลับประเทศ การอยู่อาศัยและการกินอยู่มีลักษณะที่ประหยัด ชุมชนแรงงานต่างด้าว ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านการเคหะฯ แฟลตล้งกุ้ง แถว สมุทรสาครอยู่อย่างแออัด ห้องหนึ่งนอน 3-5 คน นอนตามช่องทางเดินอาคาร เป็นต้น ถ้าบังเอิญเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นมาในชุมชนเหล่านี้ บางแห่งมีคนงานต่างด้าวอยู่เป็นหมื่นคน จะให้กักตัวอยู่แต่ในอพาร์ทเม้นท์เพื่อสังเกตอาการ 14 วัน เขาคงปฏิบัติตาม Social distancing ลำบาก เพราะว่าไม่มีที่ให้เขาทำเช่นนั้นได้
ที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ต้องการให้เกิดอาการหวาดกลัว (Panic) ขึ้นมากับครอบครัวชาวต่างด้าวและ/หรือชุมชนคนไทยโดยรอบ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทางกระทรวงแรงงานร่วมกับทางสภากาชาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ปูพรมด้วยหลายภาษา “ถิ่น” ของแรงงานต่างด้าวในหลายๆ ช่องทาง เพื่อให้ชาวต่างด้าวได้เข้าใจพิษภัยของโรคโควิด-19 การป้องกันตัวเองและครอบครัวให้อยู่
รอดปลอดภัยจากโควิด-19 เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ต้องทำให้เข้าถึงทุกชาติพันธุ์ที่เข้ามาทำงานในไทย ซึ่งมีทั้งชาวมอญ กะเหรี่ยงพุทธ กะเหรี่ยงคริสต์ พม่า ม้ง ลาหู่ ที่หลักๆ ยังมีภาษากัมพูชา ภาษาลาว เป็นต้น พวกเขาอยู่กระจายโดยทั่วไป
ดังนั้น ควรคำนึงถึงแหล่งจ้างงานของพวกเขา ที่สำคัญนายจ้างคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับแรงงานต่างด้าวมากที่สุดควรจะเป็นคนที่ “รับผิดชอบ” ชีวิตแรงงานต่างด้าวมากที่สุดและถ้าเกิดโรคระบาดในกลุ่มต่างด้าวจะกระทบชุมชนคนไทยและงานสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สมมติมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในหมู่แรงงานต่างด้าว 20,000 คน และมีคนที่อยู่แวดล้อมนับร้อยๆ จะเอาสถานที่ไหนไปกักตัวพวกเขาได้ จึงขอให้กระทรวงแรงงานอย่าผ่อนความเข้มงวดในการตรวจติดตามการระบาดของโควิด-19 จากแรงงานต่างด้าวจำนวนมหาศาลในประเทศไทย
อย่าลืมว่ายังมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายปะปนอยู่บ้าง ซึ่งไม่ทราบจำนวนเท่าไร จำนวนพันหรือจำนวนหมื่น แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้มักเป็นลูกจ้างชั่วคราว รายวัน เคลื่อนย้ายตัวเองเป็นระยะ กระจายอยู่ตามสวน ไร่นา ที่ห่างไกลจากสายตาเจ้าหน้าที่ ยากที่จะตรวจจับซึ่งเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความระมัดระวังและเข้มงวดทางกฎหมาย
ท้ายที่สุด ผู้เขียนขอสนับสนุนกระทรวงแรงงานใช้มาตรการเชิงรุกในการดูแลแรงงานต่างด้าว แต่ต้องทำความเข้าใจกับการระบาดของโควิด-19 ด้วยว่า นิเวศของการอยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าวจำนวนมากนี้มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดได้เช่นกัน “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทัน” .
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage