"...พร้อมกันนี้ ผมขอเสนอแนะหน่อยว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่ท่านผู้รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยวของไทยควรจะต้องทำ คือการงดเว้น (Refrain) จากการคิดหรือนำมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวใดๆ ไปดำเนินการให้เสียงบประมาณหรือสูญเปล่า เพราะภาวะเช่นนี้คือ ภาวะที่ไม่ใช่การไปเที่ยวเท่านั้นที่ต้องงด การไปจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือการไปรวมกลุ่มสรวลเสเฮฮาพบปะทานอาหารประจำเดือนกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ก็ควรงดเสียทั้งหมด ส่วนจะต้องงดนานแค่ไหนก็ขอให้ดูกันไป..."
สัปดาห์ที่ผ่านมาในครึ่งแรกเดือนมีนาคมนี้มีเรื่องที่เกี่ยวกับหายนะของโคโรน่าไวรัสมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดที่ขยายตัวมากขึ้นทั่วโลกโดยมีผู้ติดเชื้อถึง 170,000 ราย และเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 6,600 ราย ซึ่งเป็นการตายของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น ในประเทศอิตาลีประเทศเดียวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อตายถึง 356 คน
ขณะเดียวกันภายในครึ่งแรกของเดือนมีนาคมนี้ก็มีข่าวแต่ละประเทศที่งัดมาตรการทางการเงินมาสู้ไวรัสกันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งความจริงไม่ใช่มาตรการสู้ไวรัส แต่เป็นการอ้างของพวกผู้นำมากกว่า โดยเฉพาะผู้นำของสหรัฐอเมริกา เพราะมาตรการทางการเงินที่ประกาศใช้ออกมานั้น ไม่ว่าการลดดอกเบี้ยทางการของเงินดอลลาร์สหรัฐแบบฉุกเฉินถึง 0.50 % เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว หรือกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการประกาศที่เฟดจะทุ่มเงินถึง 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเข้าสู่ตลาด โดยผ่านการเข้าซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐที่เรียกว่ามาตรการ QE ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ๆที่กระทบทั่วโลกทั้งนั้น
จู่ๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคมนี้ เฟดก็ประกาศตูมลดดอกเบี้ยทางการลงอีกเหลือ 0% (ดอกเบี้ยศูนย์) ซึ่งเป็นการลดอย่างหนักติดพื้นเลย ตามมาติดๆกับเรื่องที่ได้ประกาศของประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นทางประเทศญี่ปุ่น แล้วก็จะตามมาด้วยประเทศจีนและกลุ่มประเทศอียูในยุโรป สุดท้ายก็จะเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยก็จะต้องลดดอกเบี้ยตาม ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องลดตามยักษ์ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องมาอธิบายเหตุผลของประเทศตนเองให้ประชาชนสับสนแต่อย่างใด
ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทั้งหลายที่ติดตามข่าวของบ้านเมืองทุกท่านคงจะเข้าใจกันดีว่า บรรดามาตรการทางการเงินที่ประเทศใหญ่หรือประเทศมหาอำนาจเขารีบเร่งออกมานั้น มันไม่ใช่มาตรการมาหยุดยั้งโคโรน่าไวรัสแต่อย่างใด แต่มันเป็นมาตรการมาหยุดยั้งการดิ่งเหวของหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกที่สร้างความหายนะให้แก่พวกเศรษฐีทั้งหลายมากที่สุดในขณะนี้ต่างหาก ทุ่มเท่าไหร่เท่ากัน ซึ่งจะมีวาระการเลือกตั้งประธานาธิบดีอยู่ข้างหน้าในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาต้องรีบนำมาตรการพยุงตลาดหุ้นมาใช้โดยไม่ต้องคิดให้ถี่ถ้วนแต่อย่างใด สรุปแล้วกล่าวได้ว่าผู้นำระดับโลกของสหรัฐเขาออกบทบาททำให้โลกนี้ต้องปั่นป่วนรวนเรอย่างไรทุกคนคงเห็นกันดีอยู่แล้ว ส่วนของประเทศไทยเรารู้สึกว่าจะตรงกันข้าม การไม่ทำอะไรที่ถูกที่ควรก็ปั่นป่วนครือๆกัน ใช่ไหมละครับ
ทีนี้มาดูว่าประเทศไทยเราเกิดอะไรขึ้น ก็เราเองเป็นประเทศที่ประเทศอื่นเขารู้กันอยู่ว่าป่วยไข้อยู่แล้ว มีหลายโรคด้วย เมื่อมาเจอกับโรคมัจจุราชแบบโคโรน่าไวรัสเข้า ก็ไม่ต้องพูดกันละว่าประเทศไทยเราจะเละขนาดไหน โดยในวันนี้ผมใคร่จะชี้ให้เห็นเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตลาดมา
ที่พูดว่าการท่องเที่ยวไทยอยู่ในห้องไอซียูแล้วนั้น ผู้คนทั้งหลายตั้งแต่อาเสี่ย อาม่า อาหมวย ถึงระดับรากหญ้าอย่างตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ต่างก็เข้าใจกันดีว่าหนักหนาแค่ไหน เข้ามาดูความหายนะในด้านการท่องเที่ยวกันให้ชัดๆกันเถอะ
ปี 2563 นี้ ประเทศไทยโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 40.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่นักท่องเที่ยวได้เข้ามาจริงจำนวน 39 ล้านคน แต่เมื่อปรากฏว่าโคโรน่าไวรัสได้แพร่ระบาดหนักเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีการเปิดเผยจากหน่วยงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของรัฐว่า นักท่องเที่ยวในปี 2563 ที่จะเข้ามาต้องลดลงแน่เหลือ 36 ล้านคน
คนนอกวงราชการมักจะพูดกันบ่อยว่า ตัวเลขของทางการไทยมักไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจมักพูดและทำงานแบบเอาใจนาย เรื่องที่ดีก็จะพูดออกมามากเกินจริง แต่เรื่องไม่ดีก็จะพูดออกมาน้อยกว่าที่จะเป็นจริง เรื่องที่ว่านักท่องเที่ยวปีนี้จะลดเหลือ 36 ล้านคนนี้ ก็เป็นทำนองนั้นหรือไม่ก็เป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา นอกจากตัวเลขแล้ว จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ยินจากปากผู้ใหญ่ด้านการท่องเที่ยวเลยว่าจะมีมาตรการแก้ไขอย่างไร นอกจากข่าวที่ว่าท่านนายกกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐไปจัดสัมมนาตามโรงแรมต่างๆให้มากหน่อย ซึ่งคนฟังถึงกับงุนงงกันมาก ทุกวันนี้ต่างก็งงกันมากแล้วนะครับ มาฟังท่านนายกที่งงก็เลยไปกันใหญ่
จากข่าวการต่อสู้กับโคโรน่าไวรัสทุกวันนี้ ปรากฏว่าแต่ละประเทศที่มีเชื้อโรคนี้เข้าไประบาด ต่างก็ไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว ต่างก็งัดมาตรการชนิดเข้มมาใช้กันแล้ว และมีแนวโน้มว่าประเทศที่มีการระบาดไม่มากนักก็กำลังพิจารณานำมาตรการเข้มมาใช้เพิ่มขึ้น มาตรการที่ว่าแบ่งเป็น 3 ประเภท มีดังนี้
1. อย่างน้อย 5-6 ประเทศได้ใช้มาตรการปิดประเทศ (Lockdown) กันแล้ว แปลว่าจะปิดกิจการบินที่รับผู้โดยสารทั้งเข้าและออก เปิดสนามบินให้เฉพาะการขนสินค้าหรือเพื่อกิจการเกี่ยวกับความมั่นคงเท่านั้น ประเทศเหล่านี้นอกจากไม่ให้คนออกแล้ว ยังเรียกนักท่องเที่ยวที่อยู่นอกประเทศให้รีบกลับเข้าประเทศเป็นการด่วนด้วย เช่น ประเทศอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เดนมาร์ก ซึ่งถือว่าได้ปิดประเทศเด็ดขาดแล้ว ตามข่าวระบุว่าที่กำลังจะประกาศตามมาได้แก่ ประเทศโปแลนด์ เชครีพับลิค และสโลวาเกีย ทั้งหมดนี้อยู่ในยุโรป
2. มีหลายประเทศที่ใช้มาตรการค่อนข้างรุนแรง แต่ยังไม่เรียกว่าปิดประเทศเพียงแต่คิดว่าน่าจะมีมาตรการเข้มกว่านี้ตามมา เช่น ประเทศลิทัวเนีย แลตเวีย รัสเซีย ยูเครน จีน และอินเดีย เป็นต้น ทำการปิดชั่วคราวไม่กี่สัปดาห์ หรือปิดพรมแดนบางส่วน
3. ที่เหลือนอกจากนี้แค่มีมาตรการคัดกรองแบบเข้ม เช่น ใครจะเข้ามาหรือแม้แต่คนของเขาเองที่ไปท่องเที่ยวในประเทศที่มีการแพร่เชื้อ เมื่อเข้ามาในประเทศต้องถูกกักกันไว้ 14 วัน (Self-Quarantine) ซึ่งทำกันอยู่หลายประเทศมาก เช่น ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อิหร่าน การ์ต้า มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตรการกักตัวของผู้ที่จะเข้าไทยที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงจำนวน 4 ประเทศ คือ ประเทศจีนรวมมาเก๊าและฮ่องกง ประเทศอิตาลี ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศอิหร่าน ผู้ที่มาจากประเทศเหล่านี้ถ้ามีไข้ต้องส่งไปโรงพยาบาล ถ้าไม่มีไข้ให้กักตัวเอง
ด้วยมาตรการปกป้องหรือป้องกันโรคระบาดโควิด 19 ที่แต่ละประเทศนำออกมาใช้ในทุกวันนี้ ผู้บริหารด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยได้วิเคราะห์ดีแล้วหรือไม่ว่ามันหนักหนาสากรรจ์อย่างไร และจะมีประเทศที่เหลือเข้ามาร่วมสมทบอีกแค่ไหน และจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ ดูดีหรือยัง ก่อนที่จะออกมาพูดว่า ไทยเราจะถูกกระทบแค่นักท่องเที่ยวที่เคยประมาณการไว้ที่ 40.8 ล้านคน จะเหลือ 36 ล้านคน แต่ผมว่าได้แค่ 20 ล้านคน ก็จะดีนักหนาแล้ว
พร้อมกันนี้ ผมขอเสนอแนะหน่อยว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่ท่านผู้รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยวของไทยควรจะต้องทำ คือการงดเว้น (Refrain) จากการคิดหรือนำมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวใดๆ ไปดำเนินการให้เสียงบประมาณหรือสูญเปล่า เพราะภาวะเช่นนี้คือ ภาวะที่ไม่ใช่การไปเที่ยวเท่านั้นที่ต้องงด การไปจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือการไปรวมกลุ่มสรวลเสเฮฮาพบปะทานอาหารประจำเดือนกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ก็ควรงดเสียทั้งหมด ส่วนจะต้องงดนานแค่ไหนก็ขอให้ดูกันไป
ขอทีเถอะครับ ปล่อยให้นักการเมืองและนักหาเสียงเขาเต้นแร้งเต้นกาไปตามลำพังก็พอแล้ว