"...ในภาวะเช่นนี้ ผมจะไม่วิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่จะเสนอว่าเราทั้งชาติต้องไปแบ่งรับความเศร้าสลดเสียใจของญาติมิตรพ่อแม่ลูกหรือสามีหรือภรรยาของผู้เสียชีวิต มาเป็นของเราด้วย พวกเขาต้องไม่ว้าเหว่ร่ำไห้อยู่ตามลำพัง เป็นไปได้ไหมที่จะให้เกียรติและแสดงความเศร้าโศก ด้วยการลดธงชาติลงครึ่งเสาร์สักหนึ่งวัน สักสามวัน เป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพงานศพของทุกท่านที่เสียชีวิต เป็นไปได้ไหมที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะลุกยืนขึ้นสงบนิ่งสักสามนาทีแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและแสดงความเคารพด้วย..."
ถ้าเราเป็นเพื่อนเป็นคนในครอบครัว เราคงตกใจและเสียใจกันเป็นที่สุดกับผู้เสียชีวิตในไม่กี่ชั่วโมง ถึง 30 คนด้วยฝีมือของจ่าทหารคนเดียว เหตุการณ์ “วิปริต” ที่โคราช เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมานี้ สมควรเป็น “วันเสาร์สีดำ” ของชาติโดยแท้ ในฐานะคนที่รักและภูมิใจในคนไทยด้วยกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้พบกับอะไรที่วิตถาร-วิปริต น่าเศร้าสลดเช่นนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จ่าทหารคนหนึ่งที่แค้นเคืองเรื่องส่วนตัว กราดยิงเพื่อนร่วมชาติญาติร่วมแผ่นดินมากมาย เข่นฆ่าทั้งทหารด้วยกัน ทั้งยิงชาวบ้าน แม้เด็กเล็ก อย่างโหดร้าย ยิงเพียงเพราะอยากยิง ฆ่าเพียงเพราะอยากฆ่า น่าเศร้ายิ่งขึ้นที่มีผู้ที่เสียชีวิตกัน “ยกครัว” เลย คือสามีภรรยาและลูกตายหมด ใครบ้างจะคิดว่าทหารคนหนึ่งซึ่งควรเสียชีพเพื่อปกป้องชาติและประชาชน กลับใช้อาวุธหนักของกองทัพไปผลาญชีวิตของคนไทยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างมากมายในชั่วพริบตาได้เช่นนี้
ในภาวะเช่นนี้ ผมจะไม่วิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่จะเสนอว่าเราทั้งชาติต้องไปแบ่งรับความเศร้าสลดเสียใจของญาติมิตรพ่อแม่ลูกหรือสามีหรือภรรยาของผู้เสียชีวิต มาเป็นของเราด้วย พวกเขาต้องไม่ว้าเหว่ร่ำไห้อยู่ตามลำพัง เป็นไปได้ไหมที่จะให้เกียรติและแสดงความเศร้าโศก ด้วยการลดธงชาติลงครึ่งเสาร์สักหนึ่งวัน สักสามวัน เป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพงานศพของทุกท่านที่เสียชีวิต เป็นไปได้ไหมที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะลุกยืนขึ้นสงบนิ่งสักสามนาทีแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและแสดงความเคารพด้วย ควรไหมที่รัฐบาลจะสงเคราะห์ครอบครัวที่เหลืออยู่ของผู้วายชนม์ให้เหมาะสม จะดีไหมที่ประชาชนทั้งจังหวัดนครราชสีมาหรือทั่วทั่วประเทศจะออกมากัน มาแสดงความห่วงใย ออกมาแบ่งรับเอาความทุกข์ของครอบครัวผู้จากไป อาจจะมีการรณรงค์จุดเทียนในตอนกลางคืนก็ได้เพื่อระลึกถึงผู้วายชนม์ พร้อมกับชวนกันตั้งสติรำลึกว่าสังคมไทยเรา ณ บัดนี้ มีอาการ “เจ็บป่วย” ทางจิตใจ เสียแล้ว เราจะต้องประณามความรุนแรงกัน ต้องตั้งใจที่จะปลูกสร้างคุณธรรมขึ้นมาใหม่ ให้หลีกเลี่ยงการใช้กำลังและความรุนแรง ระงับความคับแค้น ความอาฆาตพยาบาท รักและหวงแหนชีวิตของผู้อื่น สรุปว่าต้องช่วยกันเอาประเทศไทยที่ “ดีงาม” ที่ใฝ่สันติแก้ปัญหาอย่างสันติ กลับคืนมาให้ได้ให้กรณีวิปริตแบบที่โคราชนี้ จบลงแค่ครั้งนี้
เอนก เหล่าธรรมทัศน์
ภาคีสมาชิกราชบัณฑิต
และรองอธิการบดี ม.รังสิต