"...ผลการแพ้-ชนะของสงครามมีผลต่อคะแนนการเลือกตั้ง เช่น ถ้าฝ่ายค้านคัดค้านสงครามในช่วงที่ทหารกำลังได้รับชัยชนะ โอกาสที่รัฐบาลชนะเลือกตั้งจะมีมากขึ้นกว่าเดิมมาก บางแห่งมีความน่าจะเป็นสูงกว่า 90% แต่ถ้าหากคัดค้านช่วงที่ทหารกำลังจะแพ้หรือสงครามยืดเยื้อออกไป โอกาสที่ฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งจะมีมากขึ้นเช่นกัน..."
1. ความนำ
ผู้เขียนเคยเขียนลงใน “อิศรา” ไปแล้วว่า การเลือกตั้งของไทยที่ใกล้จะถึงไม่กี่เดือนนี้มีความไม่แน่นอน เพราะไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรบ้างในช่วงระยะเวลาก่อนวันเลือกตั้ง เช่น อาจเกิดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา
ปรากฏว่าสงครามไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเดือนธันวาคม 2568 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปไม่น่าจะนาน
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง คือ สงครามไทยกับกัมพูชาจะมีผลต่อการเลือกตั้งแค่ไหน และน่าจะอธิบายด้วยมุมมองทางทฤษฎี (theoretical lens) สงครามกับการเลือกตั้งอย่างไร ทั้งนี้เพื่อขยายกรอบการมองทางวิชาการให้กว้างขึ้น
2. ผู้เล่นที่สำคัญที่สุดและตกอยู่ในความเสี่ยงที่สุด
ในยามสงคราม ผู้เล่นที่สำคัญที่สุดและตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะแพ้-ชนะในการเลือกตั้งทั่วไป คือ ฝ่ายค้าน
ฝ่ายค้านอาจเลือกต่อต้าน/ไม่สนับสนุนสงครามหรือทหาร หรือสนับสนุนสงคราม/ทหาร ซึ่งผลของเลือกนี้จะมีผลต่อการเลือกตั้งหลังสงครามแตกต่างกัน
ทฤษฎีความเป็นไปได้ของการเลือกของฝ่ายค้านหลังสงครามมีอยู่สองด้าน
ด้านหนึ่ง การไม่สนับสนุนสงคราม/ทหาร
หากฝ่ายค้านเลือกด้านนี้จะถูกมองว่าไม่รักชาติ (unpatriotic) คนลงคะแนนอาจเกลียดฝ่ายค้าน และหันไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล
อีกด้านหนึ่ง การเลือกสนับสนับสนุนสงคราม/ทหาร
หากฝ่ายค้านเลือกต่อต้านสงคราม/ทหาร แต่ถ้าหากการเลือกของฝ่ายค้านตรงกับเสียงประชาชนส่วนใหญ่ การคัดค้านดังกล่าวจะค่อย ๆ ทำลายคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาล
ตัวอย่างกรณีการต่อต้านสงครามเวียดนามในสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 1968 มีผลต่อการทำลายคะแนนเสียงพรรคดิโมแครต ก่อให้เกิดการแตกแยกภายในพรรค
ต่อมาพรรคดิโมแครตต้องเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกผู้สมัครประธานาธิบดี เพื่อสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม เนื่องจากตอนนั้น พรรคดิโมแครตเลือกเฮอร์เบิร์ต ฮัมฟรีย์ (Herbert Humphrey) เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค โดยไม่ผ่านการเลือกในระบบไพรมารี่โหวต แต่แพ้คู่แข่ง คือ ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)
การเลือกของฝ่ายค้านจะถูกหรือผิดกรณีนี้ ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของประชาชน (Public Expect) และมติมหาชน (Public Opinion) ที่มีต่อสงคราม
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านสามารถสร้างอิทธิพล โดยการยกประเด็นของสงคราม (war issues) ขึ้นมาหาเสียงได้ เช่น
(1) จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายจากสงคราม (casualties are measured in terms of fatalities) หากมีจำนวนคนเสียชีวิต (fatalities) มากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันเลือกตั้ง ฝ่ายค้านอาจนำไปใช้หาเสียงว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ก่อสงคราม ทว่าสงครามเป็นประเด็นที่อ่อนไหว (public sensitivity) กระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของประชาชน การนำเอาจำนวนคนเสียชีวิตไปโจมตี อาจทำให้คนมองว่าเล่นการเมืองไม่สร้างสรรค์ และไม่เสียสละ แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของสงครามและประวัติศาสตร์ของประเทศ เช่น กรณีของอิสราเอลหรืออินเดีย อาจมองว่าสงครามเป็นสิ่งจำเป็นและการสูญเสียอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำลายล้างศัตรูและปมประเด็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดสงคราม
(2) ความรับผิดชอบอื่นของรัฐบาล (Accountability) ต่อสงคราม เช่น การชดใช้ค่าเสียหายแก่ทหารและพลเรือน ฝ่ายค้านอาจนำไปโจมตีว่ารัฐบาลรับผิดชอบต่อทหารและพลเรือนไม่ดีพอ หรือต้นทุนการทำสงครามสิ้นเปลืองและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(3) การเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงคราม (Making concession) ฝ่ายค้านอาจนำไปโจมตีว่าหากตนได้เป็นรัฐบาลจะมีความสามารถเจรจาต่อรองได้ดีกว่า แต่ถ้าหากรัฐบาลสามารถเจรจาต่อรองยุติสงครามได้ด้วยตัวเอง โดยทั่วไปจะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งกลับมามากกว่าฝ่ายค้าน ตรงกันข้าม ถ้าหากฝ่ายค้านเป็นฝ่ายสนับสนุนสงคราม การเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงครามของรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลมีโอกาสได้รับเลือกตั้งกลับมาน้อยลง
3. ผลของสงครามและการตัดสินใจของพรรคฝ่ายค้าน
ผลการแพ้-ชนะของสงครามมีผลต่อคะแนนการเลือกตั้ง เช่น ถ้าฝ่ายค้านคัดค้านสงครามในช่วงที่ทหารกำลังได้รับชัยชนะ โอกาสที่รัฐบาลชนะเลือกตั้งจะมีมากขึ้นกว่าเดิมมาก บางแห่งมีความน่าจะเป็นสูงกว่า 90%
แต่ถ้าหากคัดค้านช่วงที่ทหารกำลังจะแพ้หรือสงครามยืดเยื้อออกไป โอกาสที่ฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งจะมีมากขึ้นเช่นกัน
ตัวอย่าง การเลือกตั้งอังกฤษ ค.ศ. 1983 การที่พรรคแรงงานวิจารณ์สงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมมีโอกาสได้รับชัยชนะมากถึง 76%
การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1968 สมัยสงครามเวียดนามที่มีคนเดินขบวนต่อต้านสงครามภายในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีจอห์นสันถอนตัวจากการสมัครลงแข่งขันประธานาธิบดีสมัยต่อมา เพราะคาดว่าจะแพ้การเลือกตั้ง
ปี ค.ศ. 1992 ประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ ได้รับการคาดหมายความน่าจะเป็นว่าจะได้คะแนนเสียงสนับสนุนกลับมาเป็นประธานาธิบดีหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เพียง 48% ขณะที่พรรคดิโมแครตคัดค้านสงครามในครั้งนั้นได้เสียงความน่าจะเป็นถึง 95%
เมื่อเทียบกับประธานาธิบดีบุช ผู้ลูก ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสองสมัย ทั้งที่เป็นผู้ก่อสงครามทั้งสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่สอง และสงครามการรบกับขบวนการก่อการร้ายบิน ลาเดน ในอัฟกานิสถาน
โดยที่มีข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ ทำสงครามอ่าวครั้งแรกด้วยความชอบธรรม เพราะอิรักเป็นฝ่ายบุกคูเวต และสหรัฐอเมริกาเข้าไปช่วยปลดปล่อย
แต่ประธานาธิบดีบุช ผู้ลูก ทำสงครามโดยเข้าใจผิดว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยเฉพาะอาวุธชีวภาพ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่าอิรักมีอาวุธเช่นนั้น อีกทั้งไม่พบความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างการก่อการร้ายของอิรักกับอัฟกานิสถาน
คนอเมริกันกลับไม่เลือกบุช ผู้พ่อ เป็นประธานาธิบดีต่อสมัยที่สอง แต่เลือกบุช ผู้ลูก เป็นประธานาธิบดีต่อสมัยที่สอง
เหตุผลที่อธิบายได้ ก็เพราะขณะที่สหรัฐอเมริกาทำสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก นั้น สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
ส่วนการทำสงครามอ่าวครั้งที่สอง แม้จะไม่ชอบธรรม แต่การเกิดเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา สะเทือนขวัญคนอเมริกันอย่างรุนแรง
ช่วงนั้นสหรัฐอเมริกาไม่ได้ต้องการคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือประชาธิปไตย แต่ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย การเลือกบุชผู้ลูกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง ก็เพื่อเป็นผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายนั่นเอง
สถานการณ์ของประเทศที่ต้องการความเป็นเอกภาพและความเข้มแข็งในการทำสงคราม จึงต้องการผู้นำที่เข้มแข็งและเด็ดขาด มากกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
นอกจากนั้น การกำหนดจุดยืนของพรรคการเมืองในช่วงสงครามยังมีความสำคัญ ตัวอย่างกรณีการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศอิสราเอล ค.ศ. 1984 พรรคแรงงานมีจุดยืนต่อสงครามตะวันออกกลางไม่ชัดเจน (divided stance) จึงทำให้พรรคลิคุดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็น 57% โดยเสียงสนับสนุนพรรคแรงงานลดลง 32%
4. หากพรรคฝ่ายค้านคำนวณผิด
พรรคฝ่ายค้านอาจคำนวณผลของสงครามผิด ทำให้วางยุทธศาสตร์การเลือกตั้งเกี่ยวกับจุดยืนต่อสงครามผิดพลาด
เมื่อเกิดสงครามขึ้นมา ฝ่ายค้านต้องเลือกระหว่างสนับสนุนสงคราม/ทหาร กับการวิจารณ์สงคราม/ทหาร
สถานการณ์จะบีบบังคับให้พรรคต้องรีบตัดสินใจ ไม่อาจรอจนสงครามดำเนินไปจนเสร็จสิ้นจึงกำหนดยุทธศาสตร์ได้
แต่การมุ่งรักษาชื่อเสียงของพรรคฝ่ายค้านไว้มากเกินไป ทำให้พรรคฝ่ายค้านไม่กล้าตัดสินใจสนับสนุนสงคราม/ทหาร ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
เมื่อพรรคตัดสินใจผิดพลาด เช่น เลือกต่อต้านสงคราม/ทหาร จึงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพรรค การเลือกตั้งของพรรค และผลในระยะยาว
สาเหตุใหญ่มาจากพรรคมุ่งรักษาตำแหน่งความไว้วางใจของผู้เลือกตั้งเดิม และไม่สามารถปรับตัวหรือเปลี่ยนจุดยืนให้เข้ากับสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น
พรรคแนวนโยบายทางซ้ายมีแนวโน้มที่จะต่อต้านสงคราม/ทหาร ซึ่งจะเลือกข้างในทางด้านการคัดค้านทหารในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงมีผลต่อการเลือกตั้งในครั้งต่อไป แต่จะมีผลต่อความสัมพันธ์กับสถาบันทหารในระยะยาว
5. สรุป
จากทฤษฎีสงครามกับการเลือกตั้งที่ได้ทบทวนมา คงพอจะเห็นเค้าลางของผลการเลือกตั้งทั่วไปในระยะเวลาอันใกล้ เว้นแต่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีก
คุณธนาธร พูดกับนักศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร เมื่อเร็ว ๆ นี้ทำนองว่า เป้าหมายของพรรคประชาชน คือ ได้เสียงข้างมาก 300 เสียง ถ้าไม่ได้ก็เป็นฝ่ายค้านต่อไป ...

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา