
"...การที่ผู้คนในยุคปัจจุบันขาดการใส่ใจและฝึกทักษะในการมองหน้าและติดต่อกับคนอื่นๆแบบเห็นหน้าเห็นตากัน เท่ากับว่าหน้าที่ของร่างกายในส่วนที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนไม่ได้ถูกใช้งานและความสามารถเหล่านี้ก็จะเสื่อมลงหรือหายไปในที่สุดและอาจถึงขั้นไร้ความสามารถในการเข้าสังคมหรือวางตัวไม่ถูกจนเสียมารยาทเมื่อเผชิญหน้าผู้คนในบางสถานการณ์..."
ในโลกนี้คงเหลือสถานที่น้อยมากที่วิถีชีวิตของผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีก็ตาม เกาะเซนติเนลเหนือ(North Sentinel island) ซึ่งเป็นเกาะในหมู่เกาะอันดามันและอยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตราว 800 กิโลเมตรน่าจะเป็นหนึ่งในพื้นที่ของโลกที่มนุษย์บนเกาะนั้นไม่เคยสัมผัสกับความแปลกปลอมของความเจริญจากโลกภายนอก
คนที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เรียกกันว่าชาว เซนติเนลลีส (Sentinelese) ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองที่ยังคงใช้ชีวิตด้วย การล่าสัตว์ อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มและหุงหาอาหารกลางแจ้งเหมือนมนุษย์ในยุคก่อนๆ พวกเขาไม่รู้จักการคุมกำเนิด ลูกๆของพวกเขาจึงมีอายุไล่เลี่ยกับพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย วีถีชีวิตของพวกเซนติเนลลีสบนเกาะเซนติเนลเหนือจึงเป็นไปตามวิถีดั้งเดิมจากต่างพื้นที่อื่นๆในโลกที่ผู้คนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
อะไรทำให้พฤติกรรมมนุษย์แต่ละยุคเปลี่ยนไป ?
การที่พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ของโลกในแต่ละยุคเปลี่ยนไปจากเดิม ขณะที่คนส่วนน้อยมากบนเกาะเซนติเนลเหนือยังคงเป็นไปตามเดิม ทำให้นักวิชาการต้องค้นหาคำตอบว่า เหตุใดพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละยุคจึงเปลี่ยนไปและพบว่าปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรมและวัฒนธรรมของผู้คนเปลี่ยนไป เกิดจากปัจจัยหลัก 2 อย่างได้แก่ (1)
- เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลก
- วิวัฒนาการของเทคโนโลยี
นักวิชาการยุคแรกเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจาก การอุบัติของเหตุการณ์สำคัญๆในโลกและมักให้นำหนักต่อประเด็นนี้มากกว่าปัจจัยอื่น เช่น การเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลกทำให้ผู้คนมีนิสัยประหยัดติดตัว วิกฤติโรคระบาดโควิด19 ทำให้ผู้คนออกจากบ้านน้อยลง ใช้เวลาหน้าจอมากขึ้น สั่งอาหารและสินค้าผ่านแอปพลิเคชันและสวมหน้ากากอนามัยกันทั้งประเทศ แม้การระบาดลดลงแล้วพฤติกรรมการสวมหน้ากากอนามัยและการระมัดระวังเรื่องสุขภาพของผู้คนก็ยังเป็นนิสัยอยู่ในระดับที่มากกว่าก่อนเกิดโควิด19 ระบาด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์สำคัญๆของโลกแม้จะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและวัฒนธรรมของผู้คนค่อนข้างมาก แต่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ไม่บ่อยนัก แต่วิวัฒนาการของเทคโนโลยีกลับเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญยิ่งกว่าการเกิดเหตุการณ์สำคัญๆของโลกเสียอีก เช่น อินเตอร์เน็ต : ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว จำนวนหนังสือพิมพ์ลดลงและสามารถเลือกเสพข่าวตามที่ตัวเองชอบ ผู้คนสั่งสินค้าออนไลน์หรือทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ต้องเดินทาง โซเชียลมีเดีย : ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงโครงข่ายทางสังคมขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น การมีปฏิสัมพันธ์ด้วยการพบหน้ากันมีน้อยลงและใช้เวลาบนหน้าจอมากกว่ายุคใดๆ AI: เป็นเทคโนโลยีการรับรู้ (Cognitive technology) ที่สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาสารพัดเรื่องให้กับมนุษย์ ผู้คนมักใช้ทางลัดผ่าน AI ในการแก้ปัญหาโดยการพึ่งเทคโนโลยีแทนการแก้ไขปัญหาและใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบเดิม เป็นต้น
จากการมองหน้าคนสู่การมองหน้าจอ
มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ถูกโปรแกรมจากธรรมชาติให้มองหน้ามนุษย์ด้วยกันเองตั้งแต่ลืมตาดูโลก ระยะการมองของเด็กเกิดใหม่จะเท่าๆกับระยะห่างของใบหน้าเด็กถึงประมาณหน้าอกของแม่ขณะที่แม่อุ้มเขาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าของแม่จึงเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่เด็กได้เห็นและจดจำมากกว่าสิ่งใด แม้แต่เด็กที่ลืมตาดูโลกแค่ไม่กี่วันก็สามารถแยกแยะความแตกต่างในการมองเห็นใบหน้ามนุษย์มากกว่าการแยกแยะรูปร่างของวัตถุอื่นๆ การมองหน้าและการจดจำใบหน้าจึงเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมทางสังคมและทางเพศของมนุษย์หรือเป็นงานที่มนุษย์ต้องทำ ใครก็ตามที่ไม่สามารถจดจำใบหน้าได้มักเป็นภาวะที่เรียกว่า โพรโซแพกโนเซีย (Prosopagnosia) หรือโรคลืมใบหน้าซึ่งเป็นความพิการประเภทหนึ่งจากความผิดปกติทางสมองที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถจดจำและแยกความแตกต่างของใบหน้าได้ (2)
ชาลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เชื่อว่าการแสดงท่าทางของมนุษย์คือการสร้างพื้นฐานความเข้าใจและการแปลความหมายของการแสดงออกนั้นเป็นทักษะที่เกิดจากวิวัฒนาการของมนุษย์ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการใช้ภาษาในการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งหน้าระหว่างมนุษย์กับมนุษย์จึงทำให้มนุษย์เข้าใจกัน เพราะธรรมชาติออกแบบมาให้มนุษย์ต้องมองหน้าซึ่งกันและกัน ซึ่งจะกระตุ้นแต่ละฝ่ายให้เกิดการตอบสนองทางจิตวิทยา เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ต้องการ สิ่งกระตุ้นบางอย่างจากมนุษย์ด้วยกันซึ่งจอสมาร์ทโฟนกับโซเชียลมีเดียไม่สามารถทดแทนสิ่งนี้ได้
ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบความเชื่อมโยงสำคัญระหว่างการติดต่อสื่อสารผ่านหน้าจอกับสุขภาวะทางสังคมเชิงลบ(Negative social well-being) ซึ่งรวมถึง ความรู้สึกขาดความมั่นใจ ความรู้สึกว่าตนเองไม่ปกติและการนอนน้อยกว่าปกติ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลทางลบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ทั้งสิ้น ในขณะที่เขาพบว่าการสื่อสารด้วยการเผชิญหน้ากับมนุษย์ด้วยกันเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับสุขภาวะทางสังคมเชิงบวก(Positive social well- being) (3) ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมจึงต้องการการปฏิสัมพันธ์ซึ่งหน้าระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเองมากกว่าผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน
ปฏิกิริยาของการสบตา
การแสดงออกทางร่างกายเป็นภาษาพื้นฐานที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ ทั้งการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง การสบตา ฯลฯ เพราะการแสดงออกต่างๆทางร่างกายของมนุษย์สัมพันธ์กับการทำงานของอวัยวะในร่างกาย เนื่องจากองค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ตั้งแต่ระบบรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหวจนถึงลักษณะเฉพาะของสมองที่พัฒนาขึ้นนั้นได้ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้ากัน เป็นต้นว่า การสบตาระหว่างกันในบางสถานการณ์มีผลต่อการเต้นของหัวใจและกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร ฟิเนทิลามีน(Phenethylamine) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลางของมนุษย์และทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมอารมณ์และความเครียด ซึ่งหมายความว่าปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าบางประเภทได้ถูกออกแบบมารองรับการกระทำทางกายภาพของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจสัมผัสได้จากเทคโนโลยีใดๆ การสบตาจึงไม่ได้เป็นการมองหน้าและมองตากันเฉยๆ แต่ยังส่งสัญญาณอื่นๆที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายผ่านทางสายตาอีกด้วย

ทักษะทางสังคมกำลังจะหายไป ?
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีวิวัฒนาการด้านการสื่อสารต่อเนื่องกันมานับล้านปี จนสามารถอ่านภาษาที่แสดงออกทางใบหน้าและภาษากายเพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึก โดยเฉพาะการแสดงออกทางใบหน้าถือว่าเป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ ทำให้มนุษย์เข้าใจซึ่งกันและกัน การอ่านความรู้สึกและอารมณ์ของผู้คนผ่านใบหน้าจึงถือว่าเป็นทักษะสำคัญของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมต้องเรียนรู้
การอยู่ในสังคมก้มหน้าโดยไม่สนใจคนรอบข้างจนกลายเป็นนิสัยของคนยุคใหม่เท่ากับว่า มนุษย์กำลังลดความสำคัญของการใช้ทักษะทางสังคมลงไปจากการใช้เทคโนโลยีหรือพูดง่ายๆก็คือมนุษย์กำลังจะสูญเสียทักษะทางสังคม(Social skill) ซึ่งเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษไป เพราะในขณะที่เรากำลังเพิ่มทักษะทางเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ทางการติดต่อสื่อสารหรือเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม แต่เรากลับต้องสูญเสียทักษะทางสังคมไปอย่างน่าเสียดาย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย โตรอนโต แห่งแคนาดา ได้ทำการทดลองจับคู่คนที่ต้องการทำความรู้จักซึ่งกันและกันโดยแยกคนออกเป็น 2 กลุ่ม คนกลุ่มแรกถูกมอบหมายให้คุยกันซึ่งหน้า(Face to face) ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งให้คุยกันผ่านสื่อออนไลน์(Online chat) เมื่อภารกิจจบลง ผู้วิจัยได้ประเมินคุณภาพของการสนทนาของคนทั้ง 2 กลุ่มและพบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่คุยกันผ่านสื่อออนไลน์จะถามคำถามเกี่ยวกับคู่สนทนาฝั่งตรงข้ามน้อยกว่าขณะที่พูดถึงตัวเองบ่อยกว่าคู่ที่คุยกันแบบเห็นหน้ากัน(3)
ผลจากการทดลองนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “การพูดคุยกันแบบพบหน้ากัน” ซึ่งจะต้องอ่าน ภาษากาย การแสดงออกทางใบหน้าและโทนเสียงของคู่สนทนา นำไปสู่การมีส่วนร่วมทางสังคมที่ลึกซึ้งและราบรื่นกว่าการพบกันในโลกออนไลน์ จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ปัจจุบันผู้คนมักมองแต่ตัวเองเป็นสำคัญ มีความเข้าใจซึ่งกันและกันน้อยลง เกิดวิวาทะกันมากขึ้นจากการมีส่วนร่วมในสังคมแบบผิวเผิน การแปลความหมายผิดๆบนข้อความที่สื่อสารกันบนโลกออนไลน์ซึ่งไม่ได้เผชิญหน้าและสบตากันแบบตัวต่อตัวเหมือนแต่ก่อน เพราะเรามอบหน้าที่เหล่านี้ให้เทคโนโลยีไปทำแทนเสียแล้ว
พลังของใบหน้า
ใบหน้ามนุษย์เป็นส่วนสำคัญของร่างกายที่ถูก มอง เพ่งพิศ และยังถูกตกแต่งมากที่สุด จึงไม่แปลกที่พลังแห่งใบหน้าของมนุษย์ถูกพูดถึงมากมายในประวัติศาสตร์ เพราะในยุคก่อน การให้ความเคารพนับถือต่อใบหน้ามนุษย์เป็นพื้นฐานในการเตือนไม่ให้ เกิดการ“ทำลาย” สิ่งใดสิ่งหนึ่งและเป็นเหตุผลที่หลายวัฒนธรรมใช้ผ้าคลุมหน้าและหน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้าเอาไว้
ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณได้นำรูปใบหน้าของตัวเองไปติดไว้ตามที่สาธารณะไว้ทุกหนทุกแห่งเพื่อเตือนสติผู้คน จักรพรรดิโรมันได้นำใบหน้าของตนเองพิมพ์ไว้บนเหรียญทุกเหรียญเพื่อผู้คนได้เห็นถึงพลังและอำนาจของตัวเองหรือในคัมภีร์ของชาวฮีบรูที่กล่าวถึง "การแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า" ในการนมัสการต่อพระเจ้าในที่สาธารณะรวมทั้งพระคัมภีร์ที่ ผู้ศรัทธาได้รับคำแนะนำให้เผชิญหน้า
กับสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังและอำนาจของใบหน้าที่ทุกชาติทุกภาษาต่างให้ความสำคัญ
นอกจากพลังและอำนาจแล้วใบหน้ายังบ่งบอกถึงสุขภาพและนิสัยของบุคคลได้ด้วย ในยุคโบราณนักอ่านใบหน้าของจีนได้ประดิษฐ์แผนที่ใบหน้าที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริเวณใบหน้ามากกว่าร้อยจุดที่พวกเขาเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับลักษณะนิสัยหรือความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยซึ่งยังคงนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน รวมถึงคำทักทายของคนไทย เช่น “หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้ากัน” “หายหน้าหายตาไป” หรือคำพูด “ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม” ซึ่งแสดงความไม่กลัวต่ออำนาจ จึงสะท้อนถึงการให้ความสำคัญต่อใบหน้าผู้คนในสังคมไทยเช่นกัน
เรื่องเศร้าบนขบวนรถไฟ
เมื่อ 12 ปีก่อนมีข่าวชิ้นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ผู้คนให้ความสนใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางโดยสื่อต่างๆพาดหัวข่าวในทำนองเดียวกันว่า
“ผู้โดยสารจดจ่ออยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่สังเกตเห็นปืนก่อนเกิดเหตุยิงกันเสียชีวิต” (Gadget-Absorbed Commuters Failed to Notice Gun Before Fatal Shooting: ABCNEWS) (4)
“ผู้โดยสารรถไฟหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์จนมองไม่เห็นปืนก่อนยิง”
(Train riders too consumed with phones to see gun before shooting: CNN) (5)
เหตุเกิดขึ้นเมื่อคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนักศึกษาหนุ่มชื่อ จัสติน วัลเดซ (Justin Valdez)บนรถไฟที่มีผู้โดยสารจำนวนหนึ่งในซาน ฟรานซิสโกจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญผู้คน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถที่มีผู้โดยสารหลายคน แต่ไม่มีผู้โดยสารคนไหนเลยในตู้รถไฟขบวนนั้นรู้ว่าอาชญากรรมร้ายแรงกำลังเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้ตัว จากการตรวจสอบจากภาพที่บันทึกไว้ในภายหลังพบว่าผู้โดยสารคนอื่นๆที่อยู่ไม่ห่างจากเหยื่อต่างจดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์และแท็บเล็ตกันหมดโดยไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามือปืนหยิบปืนขึ้นมาแกว่งก่อนที่จะลั่นไกสาดกระสุนเข้าที่หลังของเหยื่อจนเสียชีวิต แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจเพราะเป็นเหตุการณ์อุกอาจ แต่ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ พฤติกรรมของผู้โดยสารก่อนเกิดเหตุที่ทุกคนต่างมองไม่เห็นคนร้ายและปืนในมือคนร้ายทั้งที่อันตรายกำลังเกิดขึ้นใกล้ตัวเอง เพราะเกือบทุกคนมัวจ้องแต่หน้าจอโทรศัพท์และแท็บเล็ต
เหตุการณ์ในครั้งนั้นแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่เพียงทำให้พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนไปจนกลายเป็นสังคมก้มหน้าถึงขั้นเสพติดทางพฤติกรรมและสูญเสียความใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเท่านั้น แต่ยังทำให้มนุษย์สูญเสียสิ่งที่เรียกกันว่า “ความสำนึกในหน้าที่ของความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมนุษย์ทุกคน นักจิตวิทยาบางคนจึงแนะนำว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องมี สิ่งที่เรียกว่า กลไกการประเมินอัตโนมัติ(Automatic appraising mechanism) คอยจับตาดูสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจจับความผิดปกติเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่และการอยู่รอดของเรา(3)
การมีปฏิสัมพันธ์ทำให้คนเต็มคน
คนจำนวนไม่น้อยถูกจริตกับโลกออนไลน์โดยให้เหตุผลว่า โลกออนไลน์เป็นโลกที่สงบ สามารถอยู่ได้อย่างเงียบๆโดยไม่ต้องพบหน้าหรือตอบโต้กับผู้คนด้วยคำพูดและยังสามารถสื่อสารได้ในทุกอิริยาบถแทบจะตลอดเวลาโดยไม่ต้องเผชิญหน้าหรือปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด แต่คนจำนวนหนึ่งยังชอบที่จะอยู่ในโลกความจริงเพราะไม่ถนัดในเรื่องการใช้เทคโนโลยี
นักวิจัยด้านประสาทวิทยาพบว่าเส้นประสาทส่วนที่เรียกว่า เส้นประสาทวากัส (Vagus nerve) ซึ่งเป็นเหมือนทางด่วนของร่างกายและทำหน้าที่ส่งข้อมูลระหว่างสมองกับหัวใจและอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย นอกจากจะเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณ ความสงบ ความผ่อนคลาย ย่อยอาหารและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายแล้ว เส้นประสาทส่วนนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับการอ่านภาษาที่แสดงออกทางใบหน้าและเกี่ยวข้องกับความเข้าใจระดับเสียงของมนุษย์อีกด้วย(3)
ในร่างกายมนุษย์มีระบบประสาทอยู่ 2 ระบบ ซึ่งเรียกว่า ระบบประสาททั่วไปและระบบประสาทอัตโนมัติ ในระบบประสาทแบบอัตโนมัติยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system) ซึ่งช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสงบ ผ่อนคลายและระบบประสาทซิมพาเทติก(Sympathetic nervous system) ซึ่งส่งสัญญาณที่ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายตื่นตัวเช่น ตอบสนองต่อการสู้หรือการหนี
ระบบประสาททั้งสองจึงมีบทบาทตรงกันข้ามกัน แต่ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำหน้าที่นำพาเราผ่านพ้นช่วงเวลาอันตรายไปได้นานเท่าที่จำเป็น จากนั้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะเข้ามาควบคุมและฟื้นฟูสภาวะต่างๆ ให้เป็นปกติ เส้นประสาทวากัสเป็นส่วนที่อยู่ในระบบประสาทพาราซิมพาเทติกซึ่งโดยปกติจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับความสงบและผ่อนคลายและซ่อมแซมอวัยวะของร่างกาย แต่ในยุคปัจจุบันด้วยสภาพแวดล้อมรอบตัวเราที่เปลี่ยนไปทำให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานน้อยลงหรือสงบกว่าระบบประสาทซิมพาเทติค เพราะผู้คนถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัวจนขาดความสงบและผ่อนคลาย
การเพิ่มการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาติกด้วยการกระตุ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (Vagus stimulation) (6) จึงเป็นวิธีที่แพทย์มีการแนะนำให้ไปปฏิบัติเพื่อให้ร่างกายสงบและผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเส้นประสาทวากัสถูกกระตุ้นจะทำให้มีการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทวากัสที่ เรียกว่า วากัลโทน(Vagal tone) หรือเสียงวากัลป์ เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการติดต่อกับผู้คน(Capacity for connection) อีกด้วย
การที่ผู้คนในยุคปัจจุบันขาดการใส่ใจและฝึกทักษะในการมองหน้าและติดต่อกับคนอื่นๆแบบเห็นหน้าเห็นตากัน เท่ากับว่าหน้าที่ของร่างกายในส่วนที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนไม่ได้ถูกใช้งานและความสามารถเหล่านี้ก็จะเสื่อมลงหรือหายไปในที่สุดและอาจถึงขั้นไร้ความสามารถในการเข้าสังคมหรือวางตัวไม่ถูกจนเสียมารยาทเมื่อเผชิญหน้าผู้คนในบางสถานการณ์
เหตุการณ์สำคัญของโลกและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ผ่านมาหลายต่อหลายยุคทำให้วัฒนธรรมและพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไป การมองหน้า สบตาและการแสดงออกด้วยภาษากายถูกแทนที่ด้วย ข้อความ ภาพ เสียง คลิป ฯลฯ ผ่านหน้าจอ สังคมที่เคยอุดมไปด้วยการมองหน้า สบตา ยิ้มให้กันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ กลายเป็นสังคมที่ห่างเหิน ต่างคนต่างอยู่ เพราะแต่ละคน ก้มหน้า บ่นพึมพำ สบถ และแสดงกริยาแปลกๆบนหน้าจอสมาร์ทโฟนโดยไม่เลือกสถานที่และเวลา
โลกปัจจุบันจึงกลายเป็นเป็นโลกที่มนุษย์มองมนุษย์ด้วยกันด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับมองสิ่งไร้ตัวตน ขาดความมีชีวิตชีวาของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นโลกที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ทุกคน การกลับมาอยู่ในสังคมที่มีความเป็นมนุษย์แบบเดิมเป็นสิ่งหลายคนใฝ่ฝัน แต่การนำความเป็นมนุษย์กลับคืนมาสู่โลกจะเป็นไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนให้ความสำคัญต่อ “ความเป็นมนุษย์” มากน้อยเพียงใดและเต็มใจที่จะเงยหน้าหันกลับมามองมนุษย์ด้วยกันหรือไม่หรือพอใจที่จะก้มหน้าอยู่กับจอสมาร์ทโฟนตลอดไป
บทความโดย :
พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร

อ้างอิง :
1.Generations โดย Jean M.Twenge
2.Blueprint โดย Nicholas A.Christakis
3.The Extinction of Experience โดย Christine Rosen
4. https://abcnews.go.com/US/gadget-absorbed-commuters-failed-notice-gun-fatal-shooting/story?id=20526456
5. https://edition.cnn.com/2013/10/10/tech/san-francisco-shooter-phone
6. การกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (Vagus stimulation) โดย น.พ.วรวัฒน์ เอียวสินพานิช
ภาพประกอบ :
https://practicebusiness.co.uk/the-benefits-of-face-face-communication

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา