
"...มี 2 ประเด็นสำคัญ ที่การให้คะแนนแบบเข้มงวด ติดลบ 2 คะแนน และแบบผ่อนปรน ได้คะแนนน้อยมากเพียง 2 คะแนน คือประเด็นที่ 3 ที่กล่าวว่า อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยเดี๋ยวจะจัดการให้ และประเด็นที่ 4 ที่กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรกล่าวถึงความแตกแยกภายในประเทศต่อผู้นำต่างประเทศที่เป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังประชาชน ที่อาจฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม..."
29 ส.ค.2568 เวลา 15.00 น. วันเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นวันแห่งการอำลาตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตามกระแสของสังคมในเวลานี้ หรือจะเป็นวันที่จะเดินหน้าต่อไป ซึ่งคนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่านางสาวแพทองธารจะรอดพ้นจากการถูกถอดถอนไปได้ เนื่องจากการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย เพียงแต่มีคำพูดที่ไม่เหมาะสมไปบ้าง ไม่ถึงขั้นขาดคุณสมบัติในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ
จึงขอประมวลความเห็นจากกระแสสังคมอีกครั้ง
ประเมินคำชี้แจง 11 ประเด็น ของนางสาวแพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ สรุปได้ดังนี้
ประเมินแบบเข้มงวด
- ประเด็นที่ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง (ต่ำกว่า 5 คะแนน) จำนวน 7 ประเด็น
- ประเด็นที่ได้คะแนนตั้งแต่ครึ่งขี้นไป (5 คะแนน ขึ้นไป) จำนวน 4 ประเด็น
- ได้คะแนนรวม 29 จาก 110 คะแนน หรือ 26.36 % (สอบตก)
ประเมินแบบผ่อนปรน
- ประเด็นที่ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง (ต่ำกว่า 5 คะแนน)) จำนวน 4 ประเด็น
- ประเด็นที่ได้คะแนนตั้งแต่ครึ่งขี้นไป (5 คะแนน ขึ้นไป) จำนวน 7 ประเด็น
- คะแนนรวม 57 จาก 110 คะแนน หรือ 51.82 % (สอบผ่าน)
การประเมินแบบเข้มงวด ภาพรวมคำชี้แจงได้ 26.36 % และคำชี้แจงรายประเด็น ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป 4 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 7 ประเด็น ถือว่าการประเมินแบบเข้มงวด สอบตกทั้งหมด
ส่วนการให้คะแนนแบบผ่อนปรน ภาพรวมคำชี้แจงได้ 51.82 % ส่วนคำชี้แจงรายประเด็นได้คะแนนตั้ง 5 คะแนนขึ้นไป 7 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 4 ประเด็น ถือว่าสอบผ่าน
แต่มี 2 ประเด็นสำคัญ ที่การให้คะแนนแบบเข้มงวด ติดลบ 2 คะแนน และแบบผ่อนปรน ได้คะแนนน้อยมากเพียง 2 คะแนน คือประเด็นที่ 3 ที่กล่าวว่า อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยเดี๋ยวจะจัดการให้ และประเด็นที่ 4 ที่กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรกล่าวถึงความแตกแยกภายในประเทศต่อผู้นำต่างประเทศที่เป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังประชาชน ที่อาจฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม

ประเมิน 10 ประเด็น ที่สังคมคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย สรุปได้ดังนี้
1. คลิปเสียงสนทนา เป็นวัตถุพยานที่ได้มาโดยชอบ และจะนำมาใช้เป็นพยานในคดีนี้ ได้หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยว่า พรป.ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 27 บัญญัติให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงศาลรัฐธรรมนูญรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท ประกอบกับนางสาวแพทองธารยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างตนเองกับสมเด็จฮุน เซน จริง และการสนทนาที่เป็นเหตุแห่งการยื่นคำร้องเป็นการสนทนาของนางสาวแพทองธารที่เป็นภาษาไทย จึงไม่จำเป็นต้องแปลและรับรองความถูกต้อง ทำให้คลิปเสียงสนทนานำมาใช้เป็นวัตถุพยานในคดีนี้ได้
2. การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นเพียงคำพูด ถือว่าได้ลงมือกระทำแล้ว หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยว่า การสนทนาตามคลิปเสียงมีลักษณะเป็นการเจรจา ถึงแม้จะเป็นการเจรจาที่ไม่เป็นทางการ แต่เป็นการสื่อสารอย่างตั้งใจเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้การคิด วิเคราะห์ และแสดงออกมาด้วยคำพูดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อมีการสนทนาทางโทรศัพท์ตามที่ปรากฏในคลิปเสียง ย่อมถือว่าได้เกิดการกระทำขึ้นแล้ว
3. การกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จะหักล้างด้วยการพิสูจน์ว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำให้มีผลเช่นนั้น ได้หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยโดยใช้หลักทั่วไปว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา คือเจตนาภายในของผู้กระทำย่อมพิสูจน์ได้จากการกระทำที่ปรากฏให้เห็น เมื่อได้กระทำเรื่องใดโดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนก็จะต้องถือว่ามีเจตนาที่จะกระทำเรื่องนั้น ส่วนจะมีผลตามมาเป็นความเสียหายหรือแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะเห็นได้ต่อมา โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีเจตนาเพื่อให้เกิดผลเสียหายมาตั้งแต่แรก การอ้างในภายหลังว่ากระทำไปโดยไม่มีเจตนาให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติหรือเพื่อให้ได้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่อาจเปลี่ยนการกระทำที่แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมที่ได้ทำไปแล้ว ให้เป็นการกระทำที่ถูกต้องได้
4. เทคนิคการเจรจาซึ่งเป็นหลักการที่นางสาวแพทองธารอ้างว่าใช้ในการเจรจา โดยระบุอยู่ในคำชี้แจง จะสามารถนำมาใช้หักล้างข้อกล่าวหา ได้หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยว่า เป็นการนำเอาหลักการทางทฤษฎีมากล่าวอ้างหลังจากการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้โดยชัดเจนว่าขณะที่พูดด้วยถ้อยคำตามคลิปเสียง นางสาวแพทองธารได้คำนึงถึงหลักการดังกล่าวหรือไม่ แม้การพูดจะเป็นไปตามหลักการดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ถ้อยคำที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้สื่อสารกับคู่สนทนา ไม่ได้แสดงถึงความเท่าเทียมกันระหว่างคู่สนทนาทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีลักษณะเป็นการอ่อนข้อให้กับคู่สนทนาที่เป็นประเทศคู่กรณีจนเกินกว่าเหตุ จึงไม่น่าจะเป็นไปตามหลักการที่ยกขึ้นกล่าวอ้าง ทำให้หลักการนี้ไม่อาจนำมาหักล้างข้อกล่าวหาในเรื่องการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของชาติ และการทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งได้
5. มีความเสื่อมเสียในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต จากการเสนอให้ประเทศคู่กรณีบอกความต้องการ แล้วจะจัดการให้ทุกเรื่อง ทำให้ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 หรือไม่
คาดกันว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่า การที่นางสาวแพทองธารเสนอจะจัดการให้กับประเทศคู่กรณีแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนว่าประเทศคู่กรณีจัดการเรื่องใดให้กับประเทศไทยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบและเกิดความเสียหาย อันแสดงถึงความไม่ซื่อตรงต่อประเทศชาติ ทำให้เป็นผู้ที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
6. ไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน จากการเสนอให้ประเทศคู่กรณีบอกความต้องการ แล้วจะจัดการให้ทุกเรื่อง ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 6 หรือไม่
คาดกันว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่า ถ้อยคำของนางสาวแพทองธารในคลิปเสียง ทำให้ดูเสมือนว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะเป็นเบี้ยล่างของประเทศคู่กรณี เป็นการโอนอ่อนผ่อนตามผู้นำประเทศคู่กรณีเกินสมควรกว่าเหตุ ไม่ควรที่จะใช้คำพูดเช่นนี้กับประเทศคู่กรณีที่มีความด้อยกว่าในทุกเรื่อง อันเป็นการไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ
7. ไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน จากการกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเองและประเทศคู่กรณี และการกล่าวด้อยค่าแม่ทัพภาคที่ 2 ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 6 หรือไม่
คาดกันว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่า การพูดที่มีความหมายว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งหนึ่ง โดยมีตนเองและผู้นำประเทศคู่กรณีรวมกันเรียกว่า “เรา” อยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความแตกแยกภายในประเทศไทย โดยมีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี และฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตนอยู่ฝั่งเดียวกับประเทศคู่กรณี รวมทั้งมีถ้อยคำที่เป็นการด้อยค่านายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่ป้องกันชายแดนที่ติดกับประเทศคู่กรณี อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน
8. ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และคบหาสมาคมกับคู่กรณี จากการสนทนากับผู้นำประเทศคู่กรณีว่า รัฐบาลไทยโดนโจมตีหนักมาก ขอให้เห็นใจตนเองที่เป็นหลาน และคนไทยหมดทั้งประเทศไล่ให้ไปเป็นนายกเขมร ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 17 และข้อ 19 หรือไม่
คาดกันว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่า การใช้สรรพนามเรียกตนเองว่าหลาน และเรียกผู้นำประเทศคู่กรณีว่าลุง และได้ขอความเห็นใจจากลุง โดยมีคำพูดว่าคนในประเทศของตนไล่ให้ตนไปเป็นนายกเขมร แสดงว่ามีคนไทยจำนวนมากเห็นว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับเขมรมากกว่าทำประโยชน์ให้กับคนไทย จึงได้ไล่ให้ไปเป็นนายกเขมร อันเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของตนและแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อกับประเทศคู่กรณี
9. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ จากการสนทนาทางโทรศัพท์ส่วนตัวกับผู้นำประเทศคู่กรณีและล่าม ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และข้อ 25 หรือไม่
คาดกันว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่า การเจรจากับผู้นำต่างชาติในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งไม่ใช่เรื่องส่วนตัว โดยไม่มีบุคคลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมรับฟังและให้ความเห็นในขณะสนทนา แม้จะเป็นการเจรจาที่ไม่เป็นทางการ แต่ไม่เป็นไปตามแบบแผนทางการทูต อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ
10. การปฏิบัติหน้าที่ราชการในกรณีตามคำร้อง (อาจรวมถึงกรณีอื่นด้วย) ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้อุทิศเวลาแก่ทางราชการและปฏิบัติราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 21 และ ข้อ 22 หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องมีความรอบรู้และมีแนวความคิดในการรักษาผลประโยชน์ของชาติอยู่ตลอดเวลา มีการใช้คำพูดและวางตัวอย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ โดยการที่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ จะต้องอุทิศเวลาเพื่อเติมเต็มความสามารถให้เพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งที่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่ง มิใช่ว่ามีกำลังความสามารถอยู่เดิมเพียงเท่าใด ก็ปฏิบัติหน้าที่ราชการเพียงเท่านั้น ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถที่มีอยู่แล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้แสดงถึงการไม่อุทิศเวลาแก่ทางราชการในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนางสาวแพทองธารต้องรับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดินทุกเรื่อง เมื่อไม่ได้อุทิศเวลาจึงทำให้ไม่สามารถเติมเต็มกำลังความสามารถให้เพียงพอสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารได้ ส่งผลให้นางสาวแพทองธารเป็นผู้ที่ไม่อุทิศเวลาแก่ทางราชการ และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งต่อหน้าและลับหลังประชาชน

จึงต้องติดตามว่า 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยตามที่กระแสสังคมคาดการณ์กันไว้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ จะให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการปฏิบัติตนของนายกรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดี
ส่วนจะเป็นวันแห่งการอำลาตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีผู้อ่อนวุฒิภาวะ หรือไม่ ?? อีกไม่กี่ชั่วโมงก็รู้แล้ว
บทความโดย :
นิรชน ชัยธรรม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา