
"...แต่ผมอยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะบอกคุณว่า ถ้าคุณไม่ช่วยพยุงความยุติธรรม ในวันหนึ่งคุณอาจเผชิญกับความอยุติธรรม และจะไม่มีใครตรงนั้น ยืนหยัดเพื่อคุณ..."
ในชั้นเรียนวิชากฎหมาย อาจารย์ชายวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐาน เริ่มต้นชั่วโมง ด้วยการชี้ไปที่นักศึกษาสาว ใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีฟ้า
พอถามไถ่ รู้ว่าชื่ออะไรแล้ว
อาจารย์พูด “อเล็กซิส กรุณาออกไปจากห้องเรียนของผม ผมไม่ต้องการเห็นคุณในชั้นเรียนใดๆ ของผม”
นักศึกษาหญิง มีสีหน้างุนงง แล้วว่า
“หนูไม่เข้าใจค่ะ”
“ผมจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สองนะ” อาจารย์ย้ำ
นศ. หญิง หยิบแฟ้มเอกสารและตำราเรียน หิ้วกระเป๋าถือเดินออกไปจากห้องเรียน ท่ามกลางสีหน้าประหลาดใจของบรรดาเพื่อนๆ ร่วมห้อง
อาจารย์หันกลับมาถาม
“ทำไมถึงต้องมีกฎหมาย กฎหมายมีไว้เพื่ออะไร”
นศ.คนแรกตอบ “เพื่อความเป็นระเบียบของสังคม” อาจารย์หันไปหาคนอื่น
นศ.คนที่สองบอก “เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคล”
อาจารย์กวาดสายตาไปที่คนอื่น
นศ.คนที่สาม “เพื่อที่คุณจะสามารถไว้วางใจรัฐบาลได้” อาจารย์ยังหาคำตอบต่อไป

นศ.คนที่สี่ “เพื่อความยุติธรรม”
อาจารย์บอก “ขอบคุณ” แล้วพูดต่อว่า
“เมื่อตะกี้ผมปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม กับเพื่อนร่วมชั้นของคุณใช่ไหม
จริงๆ แล้วผมไม่ยุติธรรมนะ แล้วทำไมไม่มีใครสักคนค้านเรื่องนี้เลยล่ะ
ทำไมไม่มีใครสักคน พยายามหยุดผมเลย
ทำไมคุณถึงไม่อยากต่อต้านความอยุติธรรมนี้ล่ะ”
นักศึกษาบางคนก้มหน้า บางคนหันหน้าไปทางอื่น อาจารย์พูดต่อ
“คุณเห็นไหมว่า สิ่งที่คุณเพิ่งได้เรียนรู้ไปแล้วนี้ คุณไม่มีทางเข้าใจ ต่อให้คุณเรียนเป็นพันชั่วโมง ถ้าคุณไม่เจอมันกับตัว
คุณไม่พูดอะไรสักคำเลย เพราะว่าเรื่องนี้มันไม่ส่งผลกระทบกับตัวคุณไง และทัศนคติแบบนี้แหละต้านคุณไว้ และต้านชีวิตเราไว้ด้วย”
อาจารย์กวาดสายตาซ้ายขวาไปทั่วห้อง
“แต่ผมอยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะบอกคุณว่า ถ้าคุณไม่ช่วยพยุงความยุติธรรม ในวันหนึ่งคุณอาจเผชิญกับความอยุติธรรม และจะไม่มีใครตรงนั้น ยืนหยัดเพื่อคุณ”
อาจารย์พูดสรุปอย่างเอาจริงเอาจังว่า
“ความจริงและความยุติธรรม คงอยู่ได้โดยผ่านพวกเราทุกคน และเราต้องต่อสู้เพื่อมัน เพราะในชีวิตและในการทำงาน บ่อยครั้งที่เราใช้ชีวิตแบบอยู่ห่างๆ จากกัน ไม่ใช่อยู่แบบพึ่งพาซึ่งกันและกัน
เราได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า
ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย
ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา
แล้วเราก็กลับบ้านในตอนค่ำดีใจว่า
เรารอดแล้ว แต่....มันเป็นเรื่องของการยืนหยัดเพื่อกันและกัน

Cr. ภาพ “The Enlightener กระจ่าง”
ทุกๆ วันความไม่ยุติธรรม เกิดขึ้นในวงการธุรกิจ การกีฬา หรือแม้แต่บนรถราง การพึ่งพาใครบางคน ให้จัดการดูแลเรื่องนี้ ยังดีไม่พอ มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะอยู่ตรงนั้น เพื่อคนอื่นๆ เพื่อเปล่งเสียงแทนผู้อื่น เมื่อเขาพูดเองไม่ได้
ผมอยู่ตรงนี้ เพื่อสอนคุณให้รู้ถึงพลังแห่งเสียงของคุณ ผมอยากให้คุณเรียนรู้การคิดแบบวิเคราะห์ เพื่อเสริมกำลังให้คุณยืนหยัด เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่คนอื่นกำลังทำอยู่”
ถ้าพูดจากมุมของคนที่ทำงานด้านการฝึกอบรม ก็ต้องบอกว่า นี่คือการสอนที่สมบูรณ์แบบ เป็นการสอนผ่านปฏิบัติการจริง (Action Learning) ที่ทำให้ผู้เรียนประจักษ์แจ้ง ได้ทั้งเนื้อหาได้ทั้งอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามอย่างปราศจากข้อสงสัย ขณะเดียวกันนักศึกษาถูกเตือนสติอย่างล้ำลึกในความยุติธรรมภาคปฏิบัติที่พบเห็นต่อหน้าแบบฉับพลัน โดยใช้เวลาสอนเพียง 15 นาที
แต่เรื่องของจิตสำนึกทางสังคมที่เพิกเฉยต่อความอยุติธรรมนั้น ก็เป็นดังที่ไอน์สไตน์พูดไว้ว่า
“โลกนี้เต็มไปด้วยอันตราย มิใช่เพราะแค่มีคนทำสิ่งชั่วร้าย แต่เพราะมีคนที่เพิกเฉยต่อสิ่งชั่วร้ายนั้นด้วย”

Cr. ภาพ “ยินดีไทยแลนด์”
ใช่หรือไม่ว่า คนจำนวนหนึ่งทอดธุระ หรือเพิกเฉยต่ออยุติธรรมตรงหน้า ก็เพราะ
1. ถือว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่กงการอะไรของตน ที่จะเข้าไป
เกี่ยวข้องด้วย
2. การเข้าเกี่ยวข้อง จะต้องแลกด้วยอันตรายหรือความสูญเสีย แถมไม่ได้ประโยชน์โภชน์
ผลส่วนตัวใดๆ
3. ความชินชาในพฤติกรรมซ้ำที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นสิ่งปกติในสังคม จึงปล่อยผ่านไปอย่าง
ง่ายๆ คิดเสมือนหนึ่งว่าใครๆ ก็เป็นเช่นนี้
ดังนั้นการอยู่เฉยๆ “ไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน” จึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone) มากกว่า
ถ้าผู้คนทั้งสังคม ล้วนแล้วแต่เพิกเฉยต่อความเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง เช่น
- ทุจริตถึงระดับเป็นนักโทษเด็ดขาดต้องจำคุก 8 ปี ได้รับพระราชทานลดโทษเหลือเพียง
ติดคุก 1 ปี กลับเป็นเทวดาเหนือมนุษย์ไม่ต้องจำคุกแม้แต่เพียงวันเดียว
- นายกรัฐมนตรีเจรจาลับกับฮุนเซน ลับหลังคนไทยทั้งประเทศ ย้ำความเป็นคนละฝ่ายกับแม่ทัพภาค 2 ในกำกับของตนเอง แถมพร้อมตอบสนองความปรารถนาของฮุนเซนในสิ่งที่ “ขอให้บอกมา” โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งแสดงถึงความเป็นอันธพาลแบบ “เอาแต่ได้” ก็ยังไปยอมจำนนเขา เป็นผลให้ดินแดนไทยถูกยึดครอง คนไทยถูกระเบิดและกระสุนบาดเจ็บล้มตาย โรงพยาบาลพังพินาศ แล้วมาแก้ตัวอย่างหน้าไม่อายว่า “ประเทศไม่ได้เสียอะไร ดิฉันก็ไม่ได้อะไร”

- จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นเมืองบาปแห่งการพนัน ด้วยการตั้งบ่อนกาสิโน โดยใช้
สถานบันเทิงครบวงจรบังหน้า อำพรางโลภะจริตอันเลวร้ายของตนเองไว้
โชคดีที่ประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราช มีแม่พระธรณี มีพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง และสารพันสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง มีคนไทยที่ไม่ยอมจำนนต่ออยุติธรรมของกระสือการเมืองที่ย่ำยีคนไทยมานานถึงสองทศวรรษ ทำให้เกิดกรณีคลิพหลุด เป็นประจานหลานลุง ทำให้คนไทยลุกขึ้นมาเป็นพลังต้านยันความเลวร้าย
องค์กรศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม มหาวิทยาลัยทางการแพทย์และด้านอื่นๆ ทุกสถาบัน ราชบัณฑิตยสภา อดีตสมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ และประชาชนทั้งแผ่นดินลงชื่อเปล่งเสียงตรงกันว่า “ไม่เอากาสิโน”
โชคดีที่ผู้คนในแวดวงต่างๆ ไม่ได้เอามือซุกหีบ แต่ได้ใช้สติปัญญา ใช้สื่อทันสมัย “เปิดโปงที่เลวทราม และเทิดทูนพิทักษ์ธรรม” ร่วมกัน
โชคดีที่สื่อสมัยใหม่ มีหลายช่องทางที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายแบบฉับพลัน แม้จะมีเฟคนิวส์ แต่ก็ตรวจสอบได้ และสามารถค้นหาคำตอบที่ถูกต้องได้
โชคดีที่จิตสำนึกเพื่อความเป็นธรรมของคนไทยยังดำรงคงอยู่ จึงกล้าประกาศตัวผ่านสื่อที่ตนเองทำได้ กล้าลงถนนเข้าร่วมชุมนุม กล้าพูดความจริงแบบไม่เกรงการฟ้องร้องทางกฎหมาย
ประเทศไทยเป็นอารยะสังคม ที่ไม่อาจจ่อมจมอยู่กับความชั่วร้ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เป็นดินแดนที่คนไทยไม่ยอมจำนนให้แก่อยุติธรรม ซ้ำซาก อำนาจอยุติธรรมอาจกดข่มคนไทยในบางช่วงเวลา ที่ดูเหมือนทำให้คนไทยเงียบงัน แต่ในความเงียบนั้นเอง เป็นคลื่นใต้น้ำ สั่งสมรอวันประทุ
บูรพกษัตริย์และประชาชนไทยเป็นพลังทางศีลธรรม เป็นแรงกำลังปกบ้าน ป้องเมือง คุ้มเหย้า ให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้โดยลำดับ
หากไม่มีพลังทางศีลธรรม เช่นนี้ ก็จะไม่มีประเทศไทยวันนี้
นี่คือลักษณะพิเศษของประเทศไทย และของคนไทยที่ไม่เพิกเฉย ไม่ทอดธุระต่ออัปรีย์กรรมในแผ่นดิน
ใช่หรือไม่ว่า จิตวิญญาณคนไทยแบบ “ชาวบ้านบางระจัน” ที่สู้รบป้องกันกรุงศรีอยุธยาจากการรุกรานของพม่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการสู้รบจะพ่ายแพ้ด้วยความจำกัดด้านอาวุธและอุปกรณ์สู้รบ ถึงกระนั้นก็ยังขอสู้ยิบตาจนเลือดหยดสุดท้าย
บทความโดย :
ประสาร มฤคพิทักษ์


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา