
"...เสรีภาพทางลบของสื่อหมายความว่าสื่ออาจใช้เสรีภาพล้นเกินจนกระทบคนอื่น ขณะที่เสรีภาพทางบวกของสื่อหมายความว่าสื่อเป็นตัวแทนสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ สื่อจำเป็นต้องมีเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อความโปร่งใสและความยุติธรรมของการพิจารณาคดี..."
ด้วยความที่คดีคลิปเสียงหลุดระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานวุฒิสภากัมพูชาเป็นคดีที่สาธารณะให้ความสนใจ เพราะมีผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของประเทศไทยอย่างมาก บรรดาสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโทรทัศน์ จึงเชิญนักวิชาการมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างคึกคัก ในแง่กฎหมายย่อมเป็นสิทธิที่สื่อจะทำได้ ตราบเท่าที่ไม่เป็นการรบกวนการพิจารณาคดีของศาลและดูหมิ่นศาล
แต่พึงตระหนักว่าแนวคำพิพากษาของศาลไทยวางเป็นหลักว่า การแสดงความเห็นนอกศาล ก็ถือว่าเป็นการรบกวนการพิจารณาคดีของศาลได้ และศาลมีดุลพินิจที่จะวินิจฉัยเองว่าการรบกวนดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ โดยไม่ต้องมีการไต่สวน
ข้อดี คือ สื่อกำลังตอบสนองต่อสิทธิที่จะรู้ (right to know) ของประชาชน ส่วนทางด้านนักวิชาการก็อุตสาห์เสียสละเวลาและความทุ่มเทเตรียมตัวมาให้ความคิดเห็นบนพื้นฐานของหลักวิชาการและมีเจตนาดี
ทว่าอาจมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง ตรงที่นักวิชาการบางคนนำเสนอข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน จนอาจเป็นการชี้นำสาธารณะในทางที่ผิด (misleading) นอกจากนั้นเสรีภาพของสื่อไทยก็กำลังเป็นปัญหาทั้งทางบวกและทางลบ
ผู้เขียนจึงขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
1. ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงบางอย่างอาจคลาดเคลื่อน
นักวิชาการบางคนให้ความเห็นในรายการโทรทัศน์ อ้างคดีนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ว่า ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าแม้ยิ่งลักษณ์จะยุบสภา ความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ก็สิ้นสุดลงแต่ไม่เด็ดขาด เพราะเวลานั้นยิ่งลักษณ์ต้องรักษาการนายกรัฐมนตรีช่วงการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงสามารถอ่านคำวินิจฉัยคดีคุณถวิล เปลี่ยนศรีได้
นักวิชาการท่านี้ เห็นว่า เมื่อเทียบกับคดีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถึงแม้นางสาวแพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารก็ต้องรักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่ดี ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังสามารถอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงหลุดได้
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นความคลาดเคลื่อน เพราะว่า
ประการแรก หากนางสาวแพทองธาร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารจะต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีโดยไม่สามารถรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 มาตรา 168 ซึ่งบัญญัติว่า “ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) (2) หรือ (3) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) ...”
สำหรับบทบัญญัติในมาตรา 167 (1) ก็คือ นายกรัฐมนตรีลาออก ดังนั้น การลาออกจึงทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปเลย ไม่อาจอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
ประการที่สอง เมื่อนายกรัฐมนตรีแพทองธารลาออกและพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว และเมื่อผู้ร้องในคดีคลิปเสียงนี้ได้มีคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธารมีพฤติการณ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง พร้อมกับมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนายกรัฐมนตรีแพรทองธาสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
แต่บัดนี้ การลาออกมีผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (2) แล้ว ดังนั้น เหตุแห่งการร้องต่อศาลนี้จึงได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ศาลจึงไม่มีวัตถุแห่งคดี คือ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธารให้วินิจฉัยอีกต่อไป
ส่วนมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บัญญัติว่า “คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลไว้แล้ว ก่อนศาลจะมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง ถ้าผู้ร้องตายหรือมีการถอนคำร้อง หรือไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีนั้น ศาลจะพิจารณาสั่งจำหน่ายคดีนั้นก็ได้ เว้นแต่การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ”
ดังนั้น เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลง เพราะการลาออก ศาลจึงไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดี ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดี
ส่วนคำว่า “เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” นั้น หมายถึง จำเป็นต้องวินิจฉัยคดีเพื่อรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ แต่ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวเพราะพฤติการณ์ของบุคคล เป็นกรณีที่กระทบกระเทือนต่อคุณสมบัติของบุคคลเฉพาะตัว มิใช่การรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ จึงไม่มีเหตุที่ศาลต้องวินิจฉัยคดีต่อไป
ประการที่สาม ไม่อาจนำคดีนางสาวแพทองธารไปเทียบกับคดียิ่งลักษณ์ไม่ได้ คดีของยิ่งลักษณ์เป็นการกระทำในหมวด 7 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามมาตรา 168 วรรคสอง ได้แก่ การก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรี อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 168 และเป็นผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (5)
แต่เมื่อความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวผ่านไปแล้วสองปี ผลทางกฎหมาย ยิ่งลักษณ์สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีได้ตามความในมาตรา 160 (8)
ประการที่สี่ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การยุบสภาไม่ได้ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลงโดยเด็ดขาด นั้น เพราะยิ่งลักษณ์ยังต้องรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ ศาลจึงสามารถอ่านคำวินิจฉัยคดีคุณถวิล เปลี่ยนศรี ได้
อนึ่ง ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวกับสิ้นสุดลงทั้งคณะนั้น มีน้ำหนักตามมาแตกต่างกัน
ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว (one minister in particular has been removed from the office) หมายถึงกรณีที่มีเหตุให้รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งเฉพาะตัวและไม่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เพราะ “คุณสมบัติ” ของบุคคลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคนนั้น “มีตำหนิเสียแล้ว” และคุณสมบัติของบุคคลนั้นมีตำหนิแล้ว ก็ย่อมมีตำหนิติดตัวเขาไปตลอด
ส่วนความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงทั้งคณะ (collective ministers have been removed from the office) ไม่เกี่ยวกับการมีตำหนิในเรื่อง “คุณสมบัติ” ของบุคคล แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) ได้แก่ การยุบสภา (parliament dissolution) เมื่อได้รับเลือกตั้งมาใหม่ก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้
2.สื่อไทยกับสถานการณ์คดีความในศาลรัฐธรรมนูญ
เสรีภาพทางลบของสื่อหมายความว่าสื่ออาจใช้เสรีภาพล้นเกินจนกระทบคนอื่น ขณะที่เสรีภาพทางบวกของสื่อหมายความว่าสื่อเป็นตัวแทนสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ สื่อจำเป็นต้องมีเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อความโปร่งใสและความยุติธรรมของการพิจารณาคดี
ประการแรก กรณีเสรีภาพทางลบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากข้อเท็จจริงที่ถูกเป็นว่าศาลพูด “นั่งลงครับ” แต่สื่อไปดัดแปลงเป็น “นั่งลงลูก” ก็น่าจะเข้าข่ายเป็นกรณีที่สื่อใช้เสรีภาพล้นเกิน จนอาจกระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือของระบบตุลาการทั้งระบบ จึงเป็นกรณีที่ต้องพิสูจน์ความจริงแท้ และต้องมีผู้รับผิด
ประการที่สอง กรณีเสรีภาพทางบวกที่ควรได้รับการพิจารณาใหม่ในทางวิชาการ ได้แก่ การที่ศาลสั่งห้ามไม่ให้ถ่ายทอดเสียงระหว่างการไต่สวนพยาน โดยอ้างว่าเป็นการไต่สวนพยานที่เกี่ยวกับความมั่นคง ประเด็นที่น่าคิด คือ เป็นการใช้ดุลพินิจที่สอดคล้องกับหลักวิชาสากลเพียงใด
เทียบเคียงได้จากสหรัฐอเมริกาที่มีการต่อสู้กันเรื่องสิทธิของสื่อในฐานะตัวแทนสาธารณะ เพื่อทำหน้าที่สื่อสารการพิจารณาคดี
เริ่มจากการที่เนติบัณฑิตยสภาอเมริกัน (the American Bar Association) กำหนดมาตรฐานจริยธรรมตุลาการข้อ 35 ว่า ห้ามถ่ายทอดโทรทัศน์และถ่ายภาพการพิจารณาคดี ค.ศ. 1937
แต่การคุ้มครองสิทธิจากการถ่ายทอดโทรทัศน์ดังกล่าวมีสองด้าน ด้านหนึ่ง คือ สิทธิของผู้ถูกกล่าวหา (the accused) กับอีกด้านหนึ่ง คือ สิทธิที่จะรู้ของสาธารณะ (right to know) และหลักการพิจารณาคดีที่ยุติธรรมของศาล (fair trial)
ต่อมาสื่อในสหรัฐอเมริกาได้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิของตน อ้างว่าตนมีสิทธิสื่อสารโดยการอ้างหลักเหตุผล 5 ประการ คือ
(1) หลักเสรีภาพในการพูด (the free speech argument) สื่ออ้างว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาฉบับแรกและฉบับที่แก้ไขครั้งที่ 14 บัญญัติให้สื่อมีสิทธิกระจายเสียงกระบวนการพิจารณาคดีของศาล
(2) หลักเสรีภาพในการพิมพ์ (the free press argument) สื่ออ้างว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาฉบับแก้ไขครั้งที่หนึ่ง ให้เสรีภาพสื่อในการพิมพ์ จึงหมายถึงการให้ช่างภาพของสื่อมีสิทธิเข้าไปถ่ายภาพการพิจารณาคดีในศาลได้
(3) หลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย (the public trial argument) สื่ออ้างว่าสาธารณะมีสิทธิเข้าไปฟังการพิจารณาคดีของศาล ดังนั้น การถ่ายภาพ กระจายเสียงและถ่ายทอดโทรทัศน์ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหน่งของสาธารณะจึงเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้เข้าฟังคดีได้
(4) หลักความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงศาล (the equality of access argument) สื่อบางด้าน โดยเฉพาะสื่อกระจายเสียง เห็นว่าการกีดกันเฉพาะสื่อบางกลุ่มเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขณะที่ให้ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เข้าไปในศาลได้ แต่ห้ามช่างภาพโทรทัศน์และไม่ให้นำไมโครโฟนเข้าไปถ่ายทอด จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ
(5) คดีที่เกิดขึ้นที่รัฐโคโลราโด (the Colorado case) เมื่อ ค.ศ. 1955 ศาลสูงรัฐโคโลราโดเห็นว่าควรรับฟังคำแนะนำไปแก้ไขมาตรฐานจริยธรรมตุลาการข้อ 35
ในที่สุดมาตรฐานจริยธรรมตุลาการของสหรัฐอเมริกาจึงเกิดปรับปรุงใหม่ โดยการชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของสาธารณะที่จะรับฟังการพิจารณาคดี โดยสื่อเป็นตัวแทนของสาธารณะ กับอีกด้านหนึ่ง คือ สิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหา จนกระทั่งเกิดการปรับเข้าหากันและกลายเป็นหลักการที่เกี่ยวกับการให้สื่อเข้าไปรับฟังการพิจารณาคดีของศาลสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ดังนี้
(1) ศาลมีอำนาจกำหนดวิธีพิจารณาในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่ใช่กระทำอย่างไม่จำกัด ต้องใช้อย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะต้องคำนึงถึงเสรีภาพในการพูดและการพิมพ์
(2) กฎระเบียบที่ศาลกำหนดจะต้องไม่ละเมิดเสรีภาพของสื่อที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
(3) ศาลสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันได้ผ่อนคลายกฎของการห้ามสื่อ โดยเฉพาะศาลรัฐโคโลราโดห้ามสื่อ เฉพาะกรณีที่สื่อใช้เสรีภาพการพูดและการพิมพ์รุกล้ำและทำลายอำนาจศาลโดยไม่มีความจำเป็น
จากการเทียบเคียงกับสหรัฐอเมริกาดังกล่าว อาจนำไปสู่โจทย์ทางวิชาการต่อระบบตุลาการไทยว่า จำเป็นหรือไม่ที่ระบบตุลาการไทยต้องปรับปรุงมาตรฐานการห้ามสื่อถ่ายทอดการพิจารณาคดีให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการใช้ดุลพินิจกว้างเกินไป
เนื่องจากสิทธิที่จะรู้และการตรวจสอบการพิจารณาคดีของศาลว่าเป็นไปโดยเปิดเผยและยุติธรรมก็เป็นสิทธิอีกด้านหนึ่งที่จำเป็นของประชาชน
ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งหลักการพิจารณาคดีที่ยุติธรรม (fair trial) ซึ่งเป็นหลักใหญ่ที่สุดของการพิจารณาคดี ดังกรณีของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดว่าตุลาการต้องเป็นกลาง มีความสามารถ ลูกขุนต้องปราศจากอคติ ซื่อสัตย์และมีการปรึกษาหารือกันอย่างกระตือรือร้น และทรนงในเกียรติของหมู่คณะของตน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก mgronline.com , moneyandbanking.co.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา