
"...ประวัติมูลนิธิฯ น่าสนใจมาก จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จย่า ตั้งแต่ท่านเริ่มต้น พระราชกรณียกิจด้านขาเทียม ด้วยการเสด็จไปเปิดโรงงานทำขาแขนเทียม ณ โรงพยาบาลศิริราช ในปี 2503 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ลงพระนามขอจดทะเบียนมูลนิธิฯ มาตั้งแต่ปี 2535..."
สวัสดีครับ
“รอนนี่ พรุ่งนี้เที่ยงมาพบกันที่ร้านกาแฟในสนามบินได้ไหม พี่พอมีเวลาก่อนขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่” เสียงของพี่โรม จิรานุกรม ที่โทรศัพท์มาสอบถาม ทำให้ผมดีใจเสียงหลง ตอบรับนัดโดยไม่ลังเล เพราะไม่ได้เจอะเจอพี่โรมมานาน ถือเป็นพี่ชายที่สนิทกันมากตั้งแต่เรียนปริญญาตรีที่สหรัฐฯ เพราะวิทยาลัยเซนต์โอลาฟ (Saint Olaf College) ที่ไปเรียนรุ่นเดียวกันมีคนไทยเพียง 2 คน จึงช่วยกันในทุกเรื่องเพื่อเอาตัวรอดและเรียนกันจนจบ ก่อนแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน พี่โรมกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และก้าวขึ้นเป็นรองอธิการบดี ก่อนเกษียณอายุเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
พี่โรมมาตามเวลานัด เราทักทายและสวมกอดกันด้วยความดีใจ แม้ว่าจะได้นั่งพูดคุยกัน ไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่ทำให้หายคิดถึง จนทราบว่า ปัจจุบันพี่โรมทำงานให้กับมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รับหน้าที่เป็นรองเลขาธิการ ด้านองค์กรสัมพันธ์ ทำงานเต็มเวลาเรียกว่าว้าวุ่นกว่าช่วงเป็นรองอธิการบดีเสียอีก และด้วยเวลาที่จำกัดพี่โรมจึงส่งประวัติของมูลนิธิฯ มาให้อ่านก่อนจะต้องขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่


ถ่ายรูปกับพี่โรม จิรานุกรม
ประวัติมูลนิธิฯ น่าสนใจมาก จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จย่า ตั้งแต่ท่านเริ่มต้น พระราชกรณียกิจด้านขาเทียม ด้วยการเสด็จไปเปิดโรงงานทำขาแขนเทียม ณ โรงพยาบาลศิริราช ในปี 2503 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ลงพระนามขอจดทะเบียนมูลนิธิฯ มาตั้งแต่ปี 2535
ปัจจุบัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ สานงานต่อตั้งแต่ปี 2551 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และมีโรงงานผลิตขาเทียมตั้งอยู่ทั่วประเทศ 95 แห่ง รวมทั้งในประเทศเซเนกัลและมาเลเซีย ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี มูลนิธิฯ ได้จัดทำขาเทียมให้กับผู้พิการกว่า 30,000 ขา โดยผู้พิการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นไปตามพระปณิธานของสมเด็จย่าที่ทรงมีพระราชดำรัสสั้น ๆ ไว้ว่า “อย่าไปเอาที่เขา มาเอาเงินที่ฉัน”
เมื่อแยกย้ายกับพี่โรม ผมได้ค้นคว้าประวัติมูลนิธิฯ เพิ่มเติม เกิดติดใจกับบทสัมภาษณ์ของคุณประกอบ แก้วมา ช่างกายอุปกรณ์ขาเทียม ทำงานกับมูลนิธิฯ นานกว่า 18 ปี ตั้งแต่เป็นผู้พิการทางขาและได้รับขาเทียมจากมูลนิธิฯ ผมจึงได้ขอให้พี่โรมช่วยประสานเพื่อพูดคุยกับช่างประกอบเพิ่มเติม จนนำมาสู่บทสนทนาผ่านโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ช่างประกอบเล่าว่า ตนเองเป็นชาวเชียงใหม่ ทำงานเป็นคนขับรถยกของในโรงงาน ใฝ่ฝันว่าจะได้ขับรถยกของคันใหญ่ขึ้นเพื่อนำรายได้มาเลี้ยงดูแม่ แต่ในปี 2536 เข้าสู่วัยเบญจเพส คึกคะนอง เมาแล้วขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน เกิดอุบัติเหตุจนทำให้ข้อเท้าเสียหายใช้การไม่ได้ หมอจำเป็นต้องตัดขาตั้งแต่ลำแข้งเพื่อไม่ให้ลุกลามอันตรายถึงชีวิต ซึ่งช่างประกอบยอมรับว่า ตอนนั้นทำใจไม่ได้ ความฝันที่วาดไว้สลายไปสิ้น กว่าจะทำใจได้ต้องใช้เวลาหลายเดือน
ช่างประกอบได้รับขาเทียมจากโรงพยาบาล มีลักษณะเป็นเฝือกปูนพลาสติก เวลาสวมใส่รู้สึกไม่สบาย ต้องใช้ไม้ประคองค้ำเดิน แม้นายจ้างยังคงให้ทำงานขับรถยกของต่อ แต่ทำด้วยความลำบากเพราะต้องใช้ขาข้างเดียวในการขับขี่ จึงตัดสินใจลาออกและกลับไปช่วยงานที่บ้าน เก็บเห็ด หาของป่า แต่ก็มีความยากลำบากในการเดินเข้าป่าเช่นกัน
ด้วยขาเทียมที่ได้รับจัดทำจากวัสดุที่ไม่คงทนแข็งแรง รวมทั้งสรีระที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการเปลี่ยนขาเทียมบ่อยครั้ง ในแต่ละครั้งต้องรอหลายเดือนกว่าจะถึงคิวตนเอง เป็นเช่นนี้จนถึงปี 2550 จึงได้รับทราบว่าสามารถมาขอเปลี่ยนขาเทียมได้ที่มูลนิธิฯ ไม่ต้องรอคิวนานทำเสร็จภายในวันเดียว และการค้นพบในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ทำให้เป็นช่างประกอบมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะผู้อำนวยการมูลนิธิฯ ได้ชักชวนให้มาเป็นช่างทำขาเทียม เนื่องจากน่าจะเป็นผู้รู้ใจคนที่ต้องการขาเทียมมากที่สุด
ช่างประกอบตอบตกลงโดยไม่ลังเล เข้าเรียนหลักสูตรการเป็นช่าง เรียนรู้สรีระส่วนประกอบร่างกายมนุษย์ ส่วนกระดูกและข้อต่อ ไปจนถึงวิธีการหลอมทำขาเทียมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาร่ำเรียนกว่า 3 เดือน นอกจากนั้น ยังเข้าศึกษาต่อด้านเทคนิคกายอุปกรณ์ ถือเป็นรุ่นแรกที่สำเร็จการศึกษา สามารถทำงานและนำไปสอนต่อให้กับช่างรุ่นน้องจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้ การทำขาเทียมมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด ตั้งแต่นายแพทย์เทอดชัย ชีวะเกตุ คิดประดิษฐ์ขาเทียมจากขวดยาคูลท์ ทำให้ขาเทียมมีต้นทุนถูกลง ก่อนมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเวลาต่อมา
การจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการแต่ละคน ช่างประกอบใช้ประสบการณ์จริงที่ใช้ขาเทียมมาค่อนชีวิต ซักถามในทุกรายละเอียด ก่อนที่จะหลอมขึ้นรูปขาเทียมด้วยหุ่นทราย (sand casting) ที่รวดเร็วกว่าการหลอมด้วยปูนพลาสเตอร์ ต่อกับเบ้าอ่อนและรองด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ก่อนรัดต่อเข้ากับขาด้วยแกนต่อจากนั้นจึงให้ผู้สวมใส่ลองเดิน ปรับแก้จนสามารถเดินได้คล่องไม่รู้สึกเจ็บ “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ซึ่งขาเทียมมีหลายแบบ แบบที่คงทนทำจากวัสดุเรซินไว้ใช้เดินทำงาน และแบบขาเทียมที่มีน้ำหนักเบากว่าไว้เดินสบาย ๆ ใช้ชีวิตในบ้าน ซึ่งคนพิการมักมีไว้ใช้ทั้ง 2 รูปแบบ
นอกจากช่างประกอบจะทำงานประจำที่เชียงใหม่แล้ว ยังร่วมเดินทางไปกับหน่วยเคลื่อนที่ของมูลนิธิฯ ไปในถิ่นทุรกันดารอีก 5-6 ครั้งในแต่ละปี รวมทั้งได้รับโอกาสทำขาเทียมให้กับคนพิการชาวต่างชาติด้วย


ช่างประกอบ แก้วมา กับการดูแลใส่ขาเทียม พร้อมคลิกชมวิดีโอ
ช่างประกอบกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ตนตั้งใจอยากเห็นผู้พิการคนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น จากคนไม่มีขาให้มีขา ยังจำได้ดีว่า ตอนทำขาเทียมใหม่ ๆ เคยทำให้เด็กที่ขาขาด 2 ข้าง เขาเรียกช่างประกอบว่า พ่อ พ่อ และอีกกรณีหนึ่งเป็นหลานชายแท้ ๆ ทำใจไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย จนช่างประกอบไปหาที่โรงพยาบาล ให้กำลังใจ บอกเขาว่า ตนเองเป็นคนพิการเช่นกันแต่ใส่ขาเทียมยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และเมื่อใส่ขาเทียมให้หลานชายตอบขอบคุณและบอกว่า ช่างประกอบคือผู้ให้ชีวิตใหม่กับเขา “รู้สึกภูมิใจ ตื้นตันใจ เหนื่อย แต่สุขใจครับ”
ในปัจจุบัน ยังคงมีคนพิการขาขาดอีกจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขายังมีศักยภาพ และมีคุณค่าต่อสังคม ขอเพียงทุกคนมอบโอกาสกับเขาและครอบครัว เพื่อให้พวกเขาลุกขึ้นก้าวเดิน ได้ทำตามความฝันต่อไป
บทความโดย :
รณดล นุ่มนนท์
23 มิถุนายน 2568
แหล่งที่มา:
1/ รายงานผลการปฏิบัติงานมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประจำปี 2567

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา