
"...รัฐบาลอ้างว่ามาตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทำนโยบายกาสิโน โดยไม่สนใจเสียงประชาชน..รัฐบาลจะเป็นจะตายกับการเปิดกาสิโน รุกเอารุกเอา..เหมือนคนไทยไม่รู้ประสีประสา ทีกับเขมรหัวหดเป็นเต่าในกระดอง..จะสื่อสารอะไรให้คนไทยรู้เรื่องเป็นจริงเป็นจังก็ไม่มี..."
การทำงานทุกอย่างมีสองแบบ แบบหนึ่ง คือ ทำงานเชิงรุก (proactive approach) ส่วนอีกแบบหนึ่ง คือ การทำงานเชิงรับ (passive approach)
การทำงานเชิงรุกก็ต้องรุกไปข้างหน้า หมายถึงคิดอ่านวางแผนว่าจะทำอะไรเอาไว้ล่วงหน้า สมัยปัจจุบันเรียกว่า “มีวิสัยทัศน์” (visions) หรือสมัยรัชกาลที่ห้าเรียกว่า “มองการณ์ไกล”
ส่วนการทำงานเชิงรับ ก็ตรงกันข้าม รอให้ปัญหาเกิดก่อน แล้วค่อยไล่ตามแก้ บางทีจึงเรียกว่า “ทำงานแบบนักดับเพลิง” (firefighters) คือ ถ้าไฟไม่ไหม้ ก็อยู่แต่ในห้องดับเพลิง ไม่ต้องขยับเขยื้อน
ความคิดดังกล่าวถูกนำไปใช้กับภาครัฐ ถ้าได้รัฐบาลดี-มีวิสัยทัศน์ ตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตของลูกหลาน ไม่คิดคดโกงประเทศ ก็เรียกว่า “proactive governance” หมายถึงรัฐบาลทำงานเชิงรุก แต่มีข้อแม้ข้อหนึ่งว่าต้องได้ผู้นำที่ฉลาดสักหน่อย
สมัยใหม่ใช้คำว่า “governance” แทน “government” มีความหมายทำนองว่ารัฐบาลต้องใช้อำนาจน้อยลง อย่ามุบมิบ และอาศัยความร่วมมือจากภาคอื่นที่ไม่ใช่ภาครัฐมากขึ้น โดยเฉพาะภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
ในทางตำราอธิบายว่า สาเหตุที่จำเป็นต้องมี “รัฐบาลเชิงรุก” ก็เพราะสังคมยุคปัจจุบันเป็นยุคทุนนิยมรุ่นที่สอง ต่อจากทุนนิยมรุ่นที่หนึ่งซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร หรือเรียกอีกอย่างว่า “ยุคดิจิทัล”
หนังสือของกิดเดนส์ ชื่อ “The Third Way” หรือทางเลือกที่สาม เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการคิดนโยบายสาธารณะของโลกในปัจจุบัน
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีสี่ประการ ได้แก่ (1) ประเพณีดั้งเดิมเสื่อมลง (2) ความเป็นปัจเจก (individualization) มีมากขึ้น (3) สังคมตกอยู่ใต้ความเสี่ยงมากขึ้น และ (4) โลกเข้าสู่ยุคการทบทวนปัญหาจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
สรุปว่า ยุคดิจิทัลเป็นสังคมที่คนต้องคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่ตลอด สิ่งที่เป็นอยู่ ใหม่ได้เดี๋ยวเดียวก็เก่า แล้วก็กำลังกลายเป็นสิ่งใหม่ไปเรื่อย เราเรียกสังคมอย่างนี้ว่า “the flux society” รัฐบาลก็คือตัวแทนของสังคมของคนที่ต้องตระหนักรู้นำมาคิดทบทวนเพื่อการคิดอ่านสร้างสรรค์ต่อไปข้างหน้า
ตรงกับที่กิดเดนส์อธิบายไว้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ของคนในยุคดิจิทัลมาพร้อมกับความเป็นปัจเจก ปัจเจกมีอำนาจมากขึ้น การเมืองจึงต้องส่งเสริมความมีตัวตนเพื่อให้เขามีเป้าหมายในตัวเองและได้ทำตามเป้าหมายนั้นมากขึ้น เรียกว่า “autotelic self”
ส่วนรัฐบาลต้องฉลาดเฉลียวไปตามพลเมือง รู้จักวิเคราะห์เพื่อหาความรู้ที่ลึกซึ้งสำหรับการดำเนินนโยบายเชิงรุก ทั้งนี้ เพื่อการปรับตัวในระยะยาว ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์และการเมือง
ตัวอย่างเห็นได้จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีความฉลาดเฉลียวทางด้านนโยบายสาธารณะและผลิตนโยบายของประเทศด้วยการฉายภาพออกไปในระยะยาวเป็นร้อยปี
รัฐบาลสิงคโปร์เป็นรัฐบาลเชิงรุกในแง่ของการกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีเอกภาพท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม มีวิวัฒนาการและการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา มีความมั่นคงของชาติ มีความเข้มแข็งทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน พันธมิตร และชุมชนระหว่างประเทศ (H.C. Chan et al. 2019)
ปัจจัยหนึ่งของสิงคโปร์ คือ การมีผู้นำแบบปรับเปลี่ยน (adaptive leadership) นอกจากฉลาดเฉลียวแล้ว ยังมีทักษะในการวิเคราะห์ปัญหาที่สลับซับซ้อน สรุปเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งและนำมาใช้นำพาเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยการสร้างทีมงานและระบบความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้
พอนึกถึงประเทศไทยเราแล้ว--ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม!!
1. เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาหรือเขมร
เขมรรุกประเทศไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเรื่อยมา เริ่มจากเขมรขนเอาแม่บ้านและนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาร้องเพลงชาติเขมรที่ประสาทตาเมือนธมแล้วถ่ายรูปลงสื่อโซเชียล ต่อมา มีการเผาศาลาตรีมุขบริเวณสระมรกต (พื้นที่ป่ารอยต่อขนาดใหญ่ระหว่างไทย-เขมร-ลาว) หลังจากนั้นเมื่อเดือนที่แล้ว ทหารเขมรได้เข้ามาขุดคูทำสนามเพลาะตั้งรังปืนกลหันปากกระบอกเข้าหาประเทศไทยบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พอทหารไทยไปสำรวจภาคสนามจึงเกิดการปะทะกัน ทหารเขมรตายไปหนึ่งศพ
เหตุการณ์เริ่มบานปลาย ต่างฝ่ายต่างเพิ่มกำลังรบ ฝ่ายรัฐบาลเขมรเอาเรื่องเข้ารัฐสภา ฮุนมาเน็ตและฮุนเซ็นแถลงว่าไทยรุกรานและเขมรจะฟ้องศาลโลก ส่วนที่กำลังจะประชุมคณะกรรมการพิจารณาเขตแดนร่วมกันนั้น เขมรไม่สนใจที่จะเข้าร่วมประชุม หรือถ้าจะประชุม เขมรก็ยังจะฟ้องศาลโลกอยู่ดี
บางคนวิเคราะห์ว่าเป็นเกมสร้างกระแสความรักชาติที่เขมรถนัด บางคนชมว่าเขมรฉลาด และเตือนคนไทยว่า “อย่าคลั่งชาติ” ทั้งที่คำว่า “คลั่งชาติ” ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ “ความก้าวร้าว” (aggressive) แต่ไทยโดนเขมรรุกเอารุกเอา..แล้วคนไทยมาว่ากันเองว่า “อย่าคลั่งชาติ”!!
ส่วนรัฐบาลไทย ช็อกไปเป็นสัปดาห์ อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึง มีแต่อาเตี่ยพ่อนายกรัฐมนตรีฝ่ายมุทิตาจิต ออกมาบอกว่าไม่มีอะไรเข้าใจกันผิด เดี๋ยวเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามตะกร้อ!!
นายกรัฐมนตรีฝ่ายแสดงความยินดีต่อที่ผู้ประสบความสำเร็จมาแล้วด้วยตัวเขาเอง กล่าวว่า “ยึดสันติวิธี” เมื่อเขมรแรงมา เราต้องเบาลง..โอ้ว น้อ..
ทางนายกรัฐมนตรีฝ่ายปฏิบัติการบอกว่าเป็นพื้นที่ไม่มีคนอยู่ (no man’s land) ยังตกลงกันไม่ได้ ส่วนที่มีข่าวว่าเขมรล้ำเข้ามา 200 เมตรนั้น ไม่ใช่เขตแดนไทย เป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยัง ตกลงกันไม่ได้ว่าเป็นพื้นที่ของใคร..อ้าวแล้วทำไมน้าไม่อ้างแผนที่ไทยบ้างล่ะ ไปช่วยเขาแก้ตัวทำไม..
ฝ่ายค้านไทยแถลงว่า ทำไมรัฐบาลไม่สื่อสารกับประชาชนตรงไปตรงมา อย่างน้อยก็ตั้งวอร์รูม..เอาให้ชัด ๆ จะไปปิดข่าวทำไม ในเมื่อทหารเคลื่อนไหวครึกโครม คนเห็นรถถังวิ่งตามถนนเต็มไปหมด เครื่องบินเอฟสิบหกบินว่อนบนท้องฟ้า แถมมีข่าวว่าเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งสตาร์ทไม่ติดที่เมืองอุบล...
เวลาผ่านไปสัปดาห์กว่า นายกรัฐมนตรีงัวเงียตื่นจาก “สันติวิธี” เรียกประชุมสภาความมั่นคง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างเสริมกำลังทัพเข้าไปชายแดน
แต่คราวนี้ห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวไปทำข่าว ไม่รู้จะมาจากสาเหตุที่นักข่าวไปตั้งคำถามมากน้อยแค่ไหนว่า ทหารเขมรล้ำชายแดนไทยมา 200 เมตรตามที่แม่ทัพพูดจริงหรือไม่
นายกตอบว่า ไปดูหน้างานมาแล้วหรือยัง แล้วหัวเราะ..พอนักข่าวหัวเราะหึหึบ้าง นายกหันขวับมา สุดท้ายเธอแตะด้วยมธุรสวาจาเบา ๆ ว่า “ทำไมดุจัง” !!
จนปัจจุบัน คนไทยยังไม่รู้เลยว่า ตกลงรัฐบาลไทยจะเอายังไงกับเขมร ได้ยินแต่คำตอบทำนองว่าถ้าคุยในที่ประชุมกันไม่ได้ ขั้นต่อไปอาจปิดด่าน..แล้วจะยังไงต่อดี..เหมือนประเทศไทยมีรัฐบาลเสมือนจริงที่ปกครองผ่านทางมือถือ ที่อาเตี่ยยังไม่ได้ส่งสัญญาณ...
2. การเปิดกาสิโน
เรื่องเขมรแทนที่รัฐบาลจะทำตัวเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ทำตัวให้เข้มแข็งน่าเชื่อถือ พอเป็นที่พึ่งของคนไทยได้ รัฐบาลกลับหงอเขมร จนถูกนินทาว่าเพราะครอบครัวผู้นำสองประเทศสนิทกันใช่หรือไม่ ยิ่งนายกรัฐมนตรีรับหน้าเกลี้ยง ๆ ว่า “สนิทกับฮุนเซน” หรือ “คุยกันเป็นประจำ” คนไทยยิ่งระแวง..อ้าว.. แล้วเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างไร..
แต่ครั้นพอเรื่องกาสิโน อันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ต้องการศึกษาวิจัยอีกมาก กลับรีบเร่ง ทำราวกับว่า “โลกจะแตกวันพรุ่งนี้” หรือกลัว “ผิดแผน” อะไรที่ใครวางเอาไว้..
ทั้งที่กาสิโนเป็นเหรียญสองด้าน มีทั้งด้านดี และด้านไม่ดี ต้องเอามาถ่วงน้ำหนักกัน และเอาตัวเลขทั้งสองด้านมาแสดงต่อสาธารณะให้ชัดเจน..
นโยบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรต้องเอาออกมาแสดง ไม่ใช่พูดไปเพ้อเจ้อบนอากาศธาตุ..
ส่วนทางทฤษฎี ด้านดีของกาสิโน คือ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (economic benefits) ซึ่งเกิดจากรายรับจากภาษี (tax revenues) เกิดการจ้างงาน (employment) และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic growth) และผลประโยชน์ต่อการผู้บริโภค (consumer benefits) ในแง่ของการขยายเครือข่ายกาสิโน ผู้บริโภคสามารถเล่นกาสิโนได้ง่ายขึ้น
ส่วนด้านเสียของกาสิโน คือ คนติดการพนันและก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวเองและครอบครัวมากมายหลายอย่าง (disordered gamblers) ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกาสิโนกับอาชญากรรม (casinos and crime) และต่อมา คือ ปัญหาทางสังคม (social problems) ที่เป็นผลโดยตรงจากกาสิโน เช่น ประเด็นใหญ่ของการทำให้เมืองภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสีเทา และเกิดต้นทุนทางสังคม (social cost) ที่ประเทศต้องเยียวยาและเป็นบาดแผลที่ร้าวลึกซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ปัญหา
ส่วนที่อ้างว่ากาสิโนไม่ใช่เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ นั้น เอาไว้หลอกเด็กเถอะ..ก็เมื่อคุณรับเองว่า “เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ขาด “กาสิโน” ไม่ได้ --นักลงทุนเขาจะไม่ลงทุน..มันก็มีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า “กาสิโน” เป็น “หัวใจ” ของนโยบายนี้..จะมั่วนิ่มไปถึงไหน!!
เมื่อหักกลบลบกันระหว่างผลดีกับผลเสียแล้ว ผลดีอาจเป็นเพียงภาพลวงตา และเป็นประโยชน์ระยะสั้นของคนจ้องเก็บค่าต๋งมากกว่า.. ผลประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวม
ยิ่งการเอาที่ดินสาธารณะไปใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจโดยไม่คิดต้นทุนหรือคิดต้นทุนราคาถูก ๆ เช่น เอาที่ราชพัสดุไปตั้งบ่อนกาสิโน ยิ่งมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล และยิ่งที่เขียนกฎหมายให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายอนุมัติจำนวนที่ตั้ง สถานที่ตั้ง ค่าธรรมเนียม ภาษี ยิ่งดูเหมือนว่าประเทศนี้มีใครเป็นใหญ่อยู่เพียงกระจุกมือเดียว..
รัฐบาลเร่งนำฝรั่งเจ้าของและตัวแทนบริษัทพนันกับนักวิชาการผู้ใฝ่ดีบางคน..มาจัดประชุมกันเมื่อไม่นานมานี้ แล้วโหมโฆษณาชวนเชื่อว่า พอเปิดกาสิโนแล้ว ประเทศจะได้เงินเข้าประเทศเป็นแสน ๆ ล้าน ส่วนปัญหาไม่ต้องห่วงเตรียมการไว้หมดแล้ว
การนำเสนอข้อมูลด้านเดียวของกาสิโนจึงเป็นการบิดเบือนการสื่อสารโดยรัฐอย่างจงใจ ซึ่ง ฮาเบอร์มาส (Habermas) เคยเตือนเอาไว้นักหนาว่า เป็นอันตรายที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย..
รัฐบาลอ้างว่ามาตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทำนโยบายกาสิโน โดยไม่สนใจเสียงประชาชน..
รัฐบาลจะเป็นจะตายกับการเปิดกาสิโน รุกเอารุกเอา..เหมือนคนไทยไม่รู้ประสีประสา ทีกับเขมรหัวหดเป็นเต่าในกระดอง..จะสื่อสารอะไรให้คนไทยรู้เรื่องเป็นจริงเป็นจังก็ไม่มี..
ทีควรรุกกลับไม่รุก –ส่วนทีไม่ควรรุก-- กลับรุกได้-รุกเอา..โอ้ว น้อ..

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา