"...มีเรื่องเล่าอื่น ๆ อีกมาก เช่น ทรงผู้ทรงเกียรติตัวแทนประชาชนไปเล่นพนันอยู่บ่อนประเทศเพื่อนบ้านเสียหมดตัวแปดสิบล้าน ขอเครดิตบ่อนมาอีกสี่สิบล้าน แต่ก็เสียอีก พอกลับบ้านนึกได้ว่าโดนบ่อนโกง คิดจะชักดาบ..ที่ไหนได้โทรศัพท์จากเจ้าพ่อสีเขียวเมืองหลวงมาทวงเงิน–เสียงร้องระงมกันทั้งบ้าน สรุปว่า ที่ใดมีการพนัน ที่นั่นต้องมีคนเสีย อันได้แก่ พวกผีพนันนั่นเอง..กว่าผีพนันจะหลุดออกมาขุมนรกได้ก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อย..."
ผู้เขียนได้ไอเดียการเขียนบทความนี้มาจากการอ่านงานสองชิ้น ชิ้นแรกเป็นของโรเบิร์ต ไอ ซิมป์สัน (Robert I. Simpson) ชื่อ “Gambling: A unique Policy Challenge” ตีพิมพ์ในวารสาร Healthcare Quarterly, 15,(4), 2012.
ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นบทความของท่านอัยการท่านหนึ่งที่เขียนรายละเอียดเรื่องการรับจำนำข้าวตีพิมพ์ในสำนักข่าวอิศรา—แล้วตั้งคำถามว่าประเทศไทยควรสรุปบทเรียนอะไรบ้าง? จากนโยบายจำนำข้าวที่ประเทศไทยตกเป็นหนี้เป็นสินมากมายเป็นแสน ๆ ล้านบาท และต้องชดใช้หนี้แต่ละปีจนปัจจุบันและอีกหลายปี..
งานชิ้นแรกของซิมป์สัน เป็นการตั้งคำถามต่อนโยบายกาสิโนในประเทศแคนาดาที่ดำเนินมากว่า 15 ปีว่าก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง และได้ให้ข้อเสนอแนะว่าจะต้องแก้อย่างไร?
ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มาทีหลัง (the latecomer) กำลังผลักดันนโยบายกาสิโนอย่างขะมักเขม้น จึงควรใส่ใจต่อปัญหาดังกล่าวบ้างไม่มากก็น้อย
ซิมป์สันกล่าวว่าปัญหาการพนันที่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1. การพนันเป็นสิ่งเสพติด (gambling is addictive)
คนเล่นการพนันยังไงก็ต้องติดการพนัน ไม่ได้ต่างจากกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือติดยาเสพติดประเภทอื่น พอติดแล้ว ก็ต้องเอาเงินไปเล่น และมีผลกระทบต่อฐานะครอบครัวเป็นเวลานาน แม้ว่าไม่ได้ถาวร เพราะบางคนอาจเลิกได้ในภายหลัง แต่ช่วงที่เล่นอยู่ก็น่าจะสร้างความเสียหายต่อตัวเองและครอบครัวไม่น้อย เช่น เฉพาะเมืองออนแทริโอเมืองเดียว มีคนติดพนัน 3 แสนกว่าคน และมีคนที่สามารถใช้หนี้ใช้สินได้แต่ละปีเพียง 20%
2. การพนันเป็นภาระที่ตกหนักอยู่กับคนเล่น (all gambling is loaded against gamblers)
ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องเรียกว่าพวก “ผีพนัน” รับเละ..!! ยิ่งมีการพนันเกิดมากเท่าใด ผีพนันก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเงิน
ยกตัวอย่างแบบไทย ๆ ก็ต้องเป็นเรื่องหวย แต่ละงวดต้องหาเงินมาเล่นให้พอได้ลุ้น
แต่ถ้าเป็นการพนันอย่างอื่นก็อาจมี “การโกง” เช่น รายการคุณวิทวัสเคยเอา “อาหลง” มาโชว์ เอามือลูบไพ่ทีเดียวไพ่เปลี่ยนหน้าได้
ในยูทิวป์ มีเซียนที่พวกเล่นโป๊กเกอร์จ้างไปต้มเพื่อน พอดีเพื่อนรู้จักเซียนคนนี้ ก็เลยจ้างด้วยค่าจ้างสองเท่าให้ต้มคนแรกอีกที ความสามารถของเซียนคนนี้เก่งยิ่งกว่า “อาหลง” เพราะแทนที่จะลูบไพ่แล้วเปลี่ยนแค่ใบเดียว พี่แกสามารถเอามือซ้ายเพียงมือเดียว ขยับเรียงไพ่ได้ทั้งสำรับ!!
ยังมีเรื่องจริงรุนแรงกว่านั้น เช่น นักเลงไพ่เมืองชลเอาเงินลงขันกันคนละสี่สิบล้านไปเปิดบ่อนอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน เล่นไปเล่นมา เกิดโควิดไม่มีคนเล่น เลยมาเล่นกันเอง ปรากฏว่าคนหนึ่งโกงเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ่อนด้วยกันจนหมด เพื่อนที่เหลือรู้ว่าหมอนี่โกง จึงลงขันจ้างมือปืนประเทศเพื่อนบ้านฆ่าทิ้ง!!
มีเรื่องเล่าอื่น ๆ อีกมาก เช่น ทรงผู้ทรงเกียรติตัวแทนประชาชนไปเล่นพนันอยู่บ่อนประเทศเพื่อนบ้านเสียหมดตัวแปดสิบล้าน ขอเครดิตบ่อนมาอีกสี่สิบล้าน แต่ก็เสียอีก พอกลับบ้านนึกได้ว่าโดนบ่อนโกง คิดจะชักดาบ ..ที่ไหนได้โทรศัพท์จากเจ้าพ่อสีเขียวเมืองหลวงมาทวงเงิน –เสียงร้องระงมกันทั้งบ้าน..
สรุปว่า ที่ใดมีการพนัน ที่นั่นต้องมีคนเสีย อันได้แก่ พวกผีพนันนั่นเอง.. กว่าผีพนันจะหลุดออกมาขุมนรกได้ก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อย..
ตัวเลขที่ซิมป์สันนำมาเสนอยิ่งน่าตกใจ ผีพนันคนหนึ่งเล่นเดือนหนึ่ง 26 วัน ๆ หนึ่งเล่น 24 ชั่วโมง เดิมพันตาหนึ่งเฉลี่ย 15,000 ดอลลาร์ เสียวันหนึ่งกว่า 100,000 ดอลลาร์ หรือปีหนึ่งมากกว่า 700,000 ดอลลาร์—ผีพนันพวกนี้..ใครห้ามไม่ได้เสียด้วย..
3. นโยบายการพนันเป็นนโยบายที่ถือว่ารัฐบาลมีบทบาทสำคัญทุกเรื่อง (government assumes all significant roles)
รัฐบาลไม่ว่าจะทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ ผู้กำกับดูแลหรือควบคุม ผู้ปฏิบัติการ ผู้รับผลกำไรและผู้พิทักษ์รักษาประชาชน ต้องมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการพนัน
ขนาดแคนาดาซึ่งเป็นรัฐบาลที่น่าจะจัดว่าอยู่ในเกรด “เอ” ยังเกิดปัญหาการขัดกันของผลประโยชน์ (conflict of interest) เพราะรัฐบาลต้องทำหน้าที่สร้างสิ่งจูงใจให้บริษัทการพนันที่จะมาลงทุน เพราะเขาเอาเงินมาลงทุนเป็นแสน ๆ ล้าน เขาก็หวังว่าจะได้กำไรจากการลงทุน ไม่เช่นนั้น เขาจะลงทุนทำไม..เอาเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยไม่ดีกว่าหรือ?
สิ่งที่รัฐบาลจูงใจบริษัทพนันก็ไม่พ้น “การได้สิทธิ์พิเศษ” อย่างเช่นที่รัฐบาลไทยกำลังนำร่องแก้กฎหมายเอาที่ดินท่าเรือคลองเตยมาหาประโยชน์เชิงธุรกิจ หรือรัฐมนตรีไทยให้สัมภาษณ์สื่อแบบดื้อ ๆ เลยว่าการลงทุนกาสิโนควรลงทุนในที่ “ราชพัสดุ”—เล่นเอาช็อคกันทั้งประเทศ!!
ด้านหนึ่ง รัฐบาลบอกว่าการลงทุนของบริษัทกาสิโนจะเกิดประโยชน์โภคผลต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล ..จะมีเงินไหลเข้ามาเท่านั้นเท่านี้ มีบริษัทสนใจมาลงทุนหลายเจ้า แวะเวียนมาคุยไม่หยุด ..บางบริษัทที่ลงทุนการพนันในดูไบออกปากชมรัฐบาลไทยว่า “ออกกฎหมายกาสิโนได้เข้มแข็งมาก”—เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าบริษัทการพนันช่างเอาใจใส่ต่อการออกกฎหมายกาสิโนของไทยอะไรขนาดนั้น
ตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลเห็นว่าคนไทยวิจารณ์ไปโดยไม่อ่านกฎหมายกาสิโนเหมือนที่บริษัทการพนันชมว่ามีความเข้มแข็งรัดกุมเลยแม้แต่น้อย..รัฐบาลเห็นว่าพวกต่อต้านนี้เป็นชนกลุ่มน้อย--กำลังต่อต้านความเจริญที่จะมาถึงของกาสิโน..น่าเอาไปให้ท่านเปาปุ้นจิ้นตัดหัว..เสียยิ่งนัก!!
ทว่าอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลับเตรียมอภิสิทธิ์ให้กับบริษัทการพนัน เช่น ให้คณะกรรมการนโยบายที่มีเพียงไม่กี่คนกำหนดว่าจะให้ใบอนุญาตการพนันได้กี่ใบ จะให้ตั้งตรงแหล่งไหน โดยไม่จำเป็นต้องเขียนเอกสารนโยบาย ไม่ต้องมีการออกแบบนโยบาย รวมทั้งไม่ต้องศึกษาความเป็นไปได้ก่อน รวมไปถึงอัตราค่าธรรมเนียมและภาษี โดยเฉพาะผลกระทบทางลบต่อสังคม—ไม่ต้องศึกษาให้ยุ่งยาก
ฝ่ายรัฐบาลใช้วิธีให้ลูกรัฐมนตรีเขียนบทความเผยแพร่ทำนองว่า “กาสิโนเป็นยาวิเศษ” จะทำให้เงินไหลเข้าประเทศมากมายมหาศาล บริษัทกาสิโนเป็นบริษัทเอกชนเอาเงินมาลงทุนเป็นการช่วยชาติน่าสรรเสริญ..
ขณะเดียวกันก็ให้นักวิชาการชั้นดีช่วยโปรปะกันด้าว่า กาสิโนจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศท่องเที่ยว ชนิดที่ไม่มีวัน “โลว์ซีซัน”—โอ้ มาย ก็อด..
ในข้อเขียนของซิมป์สัน ได้เสนอแนวทางลดอันตรายจากปัญหากาสิโนมากมายหลายอย่าง เช่น กำหนดเงินสูงสุดที่ผีพนันเสียว่าต้องไม่เกินเท่าไหร่ หรือมีข้อเสนอตลก ๆ เช่น ย้ายเอทีเอ็มออกจากบ่อน เพื่อไม่ให้ผีกดเงินง่าย ๆ หรือปรับแก้เครื่องสล็อตแมทชีนให้ผีพนันชนะบ้างและล็อคจำนวนการเล่นเอาไว้ หรือไม่ให้บ่อนให้เครดิต ไม่ให้ถือสมุดบัญชี ฯลฯ
อ่านดูแล้ว --ไม่มีทางเป็นไปได้ --ผีพนันเวลาเสียเงินหน้ามืดแล้ว อย่าว่าแต่กดเงินเลย ถ้าหากมันเอาลูกเมียไปเที่ยวเอนเทอเทนเมนต์คอมเพล็กซ์แบบที่นายกรัฐมนตรีคิดจะเอาลูกสองคนไปเที่ยว –มันอาจขายลูกเมียเอาเงินมาเล่นพนันหมดแล้วก็ได้..
อ้าว..กระดาษหมดอีกแล้ว!! สรุปสั้น ๆ ว่าอีกบทความหนึ่ง ท่านอัยการเอาตัวเลขความเสียหายจากนโยบายจำนำข้าวมาตีแผ่ แล้วชวนให้คนอ่านคิดว่า..นี่นะหรือนโยบายที่อ้างว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ..ทำไมตัวเลขความเสียหายจากการทุจริตในนโยบายมีมากขนาดนี้ --ท่านตั้งคำถามว่าคนไทยไม่คิดสรุปบทเรียนกันบ้างหรือ!!
ผู้เขียนรู้สึก get กับบทความของท่านอัยการ เห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหา “การขาดทุนประชาธิปไตย” อันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับระดับโลกและประเทศไทย
ปัญหาการขาดทุนประชาธิปไตย หมายถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติที่รัฐบาลไม่ได้ทำตามหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้แทนหรือสภาไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดทางด้านประชาธิปไตยที่ประเทศนั้น ๆ ยึดถือ (a democratic deficit or democracy deficit occurs when ostensibly organizations or institutions, particularly governments fall short of fulfilling the principles of democracy in their practices or operation. Representative and linked parliamentary integrity have become widely discussed. The qualitative expression of the democratic deficit is the difference between the democracy indices of a country from the highest possible values.)
ฝรั่งมักยกตัวอย่างกรณีที่รัฐบาลพอได้อำนาจไปแล้ว ไปทำอะไรโดยไม่ฟังเสียงประชาชน พอทำเสร็จเกิดความเสียหายจึงกลับมาทบทวน และพบภายหลังว่าหากฟังเสียประชาชนเสียตั้งแต่ทีแรกก็จะไม่เกิดปัญหาเช่นนั้น เช่น กรณี Brexit ของประเทศอังกฤษ เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยเราก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลพอได้อำนาจไปแล้วก็คิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ...ไม่ได้ต่างจากประเทศเผด็จการที่ผู้ปกครองเป็น “คุณพ่อรู้ดี” (father knows best) ตัดสินใจแทนประชาชนทุกอย่าง
ที่เห็นได้ชัด คือ นโยบายกาสิโน พอให้ไปถามประชาชนโดยการลงประชามติ รัฐบาลก็อ้างว่ากฎหมายประชามติยังไม่เสร็จ
บางทีอ้างว่าถามประชาชนมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งคำถามว่า “ท่านเห็นด้วยกับนโยบายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือไม่” –คำตอบที่ได้รับคือคนเห็นด้วย 80%
ร้อนถึงนักเลงดีอย่างอาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ชำนาญการทางสถิติเอาไปวิเคราะห์ว่าเข้าข่ายประชามติปลอม เพราะตัวเลขมันเท่ากันหมดทุกรายการ แล้วก็ข้อสำคัญ คนตอบเขาจะรู้ไหมเนี่ยว่า “เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์คืออะไร”??—ทำไมไม่ถามว่า รัฐบาลจะเปิดกาสิโน --เห็นด้วยหรือไม่??
ยิ่งรัฐมนตรีอดีตอาจารย์กฎหมายที่มีชื่อเสียง ตอบสื่อว่า “การทำประชามติจะกระทบต่อการลงทุน”—ยิ่งทำให้คนไทยตกตะลึง—อะไรที่ทำให้อาจารย์เปี้ยนไป๊!!
ความเสียหายจากการจำนำข้าวเป็นแสน ๆ ล้าน ที่คนรุ่นหลังต้องมานั่งใช้หนี้ ..นั่นแหละ คือ “การขาดทุนประชาธิปไตย” รัฐบาลเล่นทำอะไรไปโดยไม่ถามประชาชน พอเกิดความเสียหายขึ้นมาก็พร้อมที่จะไม่รับผิด คือ เตรียมไปซื้อบ้านต่างประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว..
กาสิโนก็ไม่ได้ต่างกัน พอถึงวันที่เกิดความเสียหายขึ้นมา.. ก็คงอ้างว่าทั้งหมดทำเพื่อประชาชน อันเป็นเจตนาที่แสนดี—ตอนตัดสินใจ ถ้าหากมัวไปถามประชาชนก่อน เราจะมีผู้แทน มีรัฐบาลไปทำไม?
รัฐบาล คือ ผู้ตัดสินใจแทนประชาชนอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังของรัฐบาล ก็คือ ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในการครองใจประชาชน และยังคิดที่จะครองอำนาจไปอีกสี่สิบปี..
เหมือนเรือไททานิก..ที่ไม่มีวันจม!!
บทความโดย :
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา