
"...ประวัติศาสตร์ไทย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ทรงปกป้องสุขภาพประชาชน ให้ปลอดภัยจากสิ่งเสพติด ที่สำคัญและขอกล่าวถึง คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงให้เผาฝิ่น และทรงให้รวบรวมกลักฝิ่น นำมาหล่อ “พระกลักฝิ่น” ประดิษฐาน อยู่ที่ วัดสุทัศน์เทพวราราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ถวายพระนามว่า พระพุทธเสรฏฐมุนี แปลว่า พระผู้ประเสริฐสุด..."
ประวัติศาสตร์ไทย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ทรงปกป้องสุขภาพประชาชน ให้ปลอดภัยจากสิ่งเสพติด ที่สำคัญและขอกล่าวถึง คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงให้เผาฝิ่น และทรงให้รวบรวมกลักฝิ่น นำมาหล่อ “พระกลักฝิ่น” ประดิษฐาน อยู่ที่ วัดสุทัศน์เทพวราราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ถวายพระนามว่า “พระพุทธเสรฏฐมุนี” แปลว่า “พระผู้ประเสริฐสุด”
รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญญลักษณ์ประดิษฐานแนวคิดที่ย้ำเตือนสังคมถึงภัยอันตรายจากฝิ่น แม้ทรงพยายามอย่างเต็มกำลัง แต่ บทเรียนทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ที่สุดแล้ว แรงกดดันของต่างชาติ ทำให้รัฐต้องอนุญาตให้จำหน่ายฝิ่นอย่างถูกกฎหมาย นำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงและเกิดการเสพติดอย่างกว้างขวางในสังคม เป็นเวลานับสิบปี สุดท้ายจึงต้องยกเลิกโดยสิ้นเชิง บทเรียนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยง ที่หากรัฐพิจารณาให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย จะก่อให้เกิดหายนะทางสุขภาพในลักษณะเดียวกัน สังคมจึงควรเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จากฝิ่นสู่บุหรี่ไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย ดังนี้
1. การบังคับให้ อนุญาตนำเข้า ขายฝิ่น การตั้งโรงฝิ่นในประเทศไทย
ก่อนการอนุญาต เป็น ช่วงเวลาที่ไทยห้ามการค้าฝิ่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2352–2367) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ออกพระราชกำหนดห้ามซื้อขายและสูบฝิ่น โดยกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน
ต่อมา แม้ ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367–2394) จะทรงพยายามเต็มกำลังอย่างที่สุด ได้ทรงให้เผาฝิ่น และให้รวบรวมกลักฝิ่น นำมาหล่อ “พระกลักฝิ่น” แต่ กลับมีการบังคับให้นำเข้าฝิ่นโดยอังกฤษ อังกฤษได้กดดันให้ไทยเปิดเสรีทางการค้า ผ่านสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งมีข้อกำหนดให้อังกฤษสามารถนำเข้าสินค้าต่างๆ รวมถึงฝิ่นเข้ามาขายในไทยได้ แม้ว่าจะยังต้องผ่านการควบคุมของพระคลังข้างที่ก็ตาม หลังข้อกำหนดดังกล่าง รัฐบาลจึงจำต้องอนุญาตให้มีการนำเข้าฝิ่นอย่างถูกกฎหมาย และจัดเก็บรายได้ผ่านระบบสัมปทาน โดยมีการตั้ง “โรงฝิ่น” อย่างเปิดเผย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ฝิ่นกลายเป็นสินค้าทำรายได้สำคัญของรัฐในยุคนั้น
2. การขยายตัวและความรุนแรงของปัญหา และการตัดสินใจของรัฐบาลไทย
จากการที่ฝิ่นถูกควบคุมผ่านระบบสัมปทานและการจัดเก็บภาษีผูกขาด สร้างรายได้ให้รัฐ การเปิดให้ขายฝิ่นได้อย่างเสรีทำให้เกิดการเสพติดในประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานและคนยากจน ส่งผลให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมตามมาอย่างรุนแรง เช่น ครอบครัวแตกแยก ขาดแรงงาน ผลผลิตลดลง และระบบสาธารณสุขต้องแบกรับภาระหนัก เมื่อปัญหาการเสพติดและผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลจึงตัดสินใจยกเลิกการนำเข้าและการขายฝิ่นอย่างเป็นทางการ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน รัฐบาลไทยได้ยกเลิกการขายฝิ่นอย่างเสรีในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) โดยออกกฎหมายห้ามการเสพและค้าฝิ่นอย่างเด็ดขาด
3. การคิดค้นพัฒนาบุหรี่ไฟฟ้า และ การจำหน่าย ขยายตัว
บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ต้องการเลิกบุหรี่ โดยใช้สารนิโคตินในรูปแบบไอน้ำแทนการเผาไหม้ แต่ต่อมากลับถูกพัฒนาเชิงพาณิชย์ให้กลายเป็นสินค้าผลักดันกำไรของอุตสาหกรรมยาสูบข้ามชาติ จากอุปกรณ์สำหรับ “ช่วยเลิกบุหรี่” บุหรี่ไฟฟ้ากลับถูกใช้เป็นสินค้าบริโภคทั่วไปโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น โดยบริษัทบุหรี่ผลักดันการตลาดอย่างเข้มข้นผ่านรสชาติหลากหลาย การโฆษณาทางสื่อออนไลน์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย กระตุ้นการขยายตัวในหลายประเทศทั่วโลก
4. การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าและ มาตรการของรัฐบาลที่ได้รับการชื่นชม
แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่จากการตลาดออนไลน์ และการเข้าถึงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย บุหรี่ไฟฟ้ากลับแพร่ระบาดในหมู่วัยรุ่นไทยอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนมัธยมและนิสิตนักศึกษา ที่ตกอยู่ในภาวะเสพติดนิโคตินโดยไม่รู้ตัว รัฐบาลไทยมีจุดยืนชัดเจนในการห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าโดยถือว่าเป็นภัยต่อสุขภาพ แม้จะมีความพยายามจากกลุ่มผลประโยชน์ในการเรียกร้องให้เปิดเสรี โดยอ้างถึงประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและการลดอันตรายเมื่อเทียบกับบุหรี่ธรรมดา ซึ่งรัฐบาลได้รับการชื่นชมในสังคมอย่างมาก
5. บริษัทบุหรี่ต่างชาติ เรียกร้องเปิดขาย อ้างปลอดภัยกว่า ทว่ากลับเกิดโรคภัย
กลุ่มอุตสาหกรรมบุหรี่ต่างชาติพยายามผลักดันแนวคิดว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา และควรใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการสูบบุหรี่ แต่หลายงานวิจัยกลับพบว่ามีสารพิษจำนวนมากในไอน้ำบุหรี่ไฟฟ้า และผู้ใช้จำนวนมากกลายเป็นผู้เสพติดนิโคตินโดยไม่ตั้งใจ รายงานจากแพทย์และนักวิจัยไทย พบผู้ป่วยด้วยโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภูมิแพ้ และอาการทางสมองที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวที่ยังไม่สามารถประเมินได้ครบถ้วน
6. ปล่อยจำหน่ายถูกกฎหมาย ฤา จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ฝิ่น
ภาครัฐดำเนินการตรวจจับและดำเนินคดีต่อผู้ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มองค์กรสุขภาพ เช่น สสส., กระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายสุขภาพ ได้ร่วมกันออกเสียงสนับสนุนนโยบายดังกล่าว พร้อมเสนอการเพิ่มบทลงโทษ และเร่งรัดมาตรการควบคุมในโลกออนไลน์ รัฐบาลขานรับ โดย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า และเห็นชอบมาตรการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย 5 มาตรการ. มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมทั้งยืนยันสถานะบุหรี่ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมาย ถือเป็น หมุดหมายสำคัญ ของการยืนยันอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า การเปิดให้สารเสพติดจำหน่ายได้เสรี แม้ในนามของ “ควบคุม” หรือ “ลดอันตราย” มักนำไปสู่ผลลัพธ์อันเลวร้ายในระยะยาว เช่นเดียวกับกรณีฝิ่น หากประเทศไทยยอมให้บุหรี่ไฟฟ้าจำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมาย ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติสุขภาพแห่งชาติ ที่อาจย้อนรอยซ้ำกับบทเรียนเรื่องฝิ่นในอดีต สังคมจึงควรตระหนักว่า บุหรี่ไฟฟ้าอาจมาในรูปแบบที่ล้ำสมัยและแฝงไว้ด้วยภาพลักษณ์ที่ “ไม่อันตราย” แต่ในความเป็นจริง หากปล่อยให้สิ่งนี้ถูกกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงผลระยะยาว ก็ไม่ต่างจากการเปิดประตูต้อนรับปัญหาสุขภาพในสังคมอีกครั้ง ซึ่งบทเรียนจากฝิ่นในอดีตควรเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐยืนหยัดในการปกป้องสุขภาพประชาชนไว้ให้มั่นคง
บทความโดย :
วิทยา กุลสมบูรณ์
มูลนิธิเภสัชชนบท
27 พค 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา