
"...กองทัพเวียดนามเหนือและกำลังรบเวียดกงตัดสินใจรุกเข้าสู่ดินแดนเวียดนามใต้ในปลายปี พ.ศ. 2517 สามารถเข้ายึดครองเมืองสำคัญได้อย่างรวดเร็วเกินคาด โดยเฉพาะเมืองเว้และเมืองดานัง ทำให้ทหารเวียดนามใต้หนีแตกกระเจิงมายังตอนใต้ จนมีคำสั่งจากฝ่ายเหนือให้เผด็จศึกยึดกรุงไซ่ง่อนให้สำเร็จ..."
บ่ายวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ผมกับน้องชายกำลังเล่นกันตามประสาเด็กอย่างสนุกสนานอยู่หน้าบ้าน แต่ทันใดนั้น ได้ยินเสียงแม่ร้องเสียงหลงว่า “ไซ่ง่อนแตก! ไซ่ง่อนแตก!” ทำให้ผมถึงกับผงะ รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน นึกว่ามีไส้หล่นมาตกแตก แต่เมื่อแม่และพ่อได้บอกกับผมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า “กองทัพเวียดนามเหนือและเวียดกงยึดกรุงไซ่ง่อน เวียดนามได้กลายเป็นประเทศเดียว ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์” ผมกับน้องชายได้แต่พยักหน้าก่อนกลับออกไปเล่นต่อ และไม่นึกไม่คิดว่าวันนั้นถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้ทั้งใบ

วันรุ่งขึ้น ผมได้หยิบหนังสือพิมพ์ประชาชาติขึ้นมาอ่าน พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า “เวียดกงยึดไซ่ง่อน ปกครองเวียดนามใต้” พร้อมรูปเฮลิคอปเตอร์สหรัฐฯ จอดอยู่บนหลังคาตึก มีเจ้าหน้าที่ซีไอเอช่วยดึง
ชาวอเมริกันขึ้นมาทีละคน ถือเป็นช่วงชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่เวียดกงจะบุกเข้ามาในกรุงไซ่ง่อน เป็นภาพที่สะกิดใจและทำให้ผมถึงกับอ้อนวอนให้แม่เล่าถึงประวัติศาสตร์สงครามเวียดนาม ที่ยาวนานกว่า 30 ปี นับตั้งแต่การต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากฝรั่งเศสจนถูกแบ่งแยกประเทศ และการเข้ามาของทหารอเมริกันแบบเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2503 โดยที่ทหารสหรัฐฯ เข้ามาร่วมรบสูงสุดถึง 543,000 นาย ก่อนที่จะเริ่มถอนทหารออกจากเวียดนาม ภายหลังได้รับแรงกดดันการต่อต้านสงครามจากคนอเมริกัน จนเป็นที่มาของการลงนามในสนธิสัญญาปารีสยุติสงครามในปี พ.ศ. 2516 ส่งผลให้ทหารสหรัฐฯ ถอนกำลังรบออกจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงที่ปรึกษาทางทหาร และช่วยสนับสนุนทางอากาศ
กองทัพเวียดนามเหนือและกำลังรบเวียดกงตัดสินใจรุกเข้าสู่ดินแดนเวียดนามใต้ในปลายปี พ.ศ. 2517 สามารถเข้ายึดครองเมืองสำคัญได้อย่างรวดเร็วเกินคาด โดยเฉพาะเมืองเว้และเมืองดานัง ทำให้ทหารเวียดนามใต้หนีแตกกระเจิงมายังตอนใต้ จนมีคำสั่งจากฝ่ายเหนือให้เผด็จศึกยึดกรุงไซ่ง่อนให้สำเร็จ และในช่วงเวลา 11.30 น. ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 รถถัง T-54 หมายเลข 843 ผลิตโดยสหภาพโซเวียด วิ่งเข้าชนรั้วด้านข้างทำเนียบอิสรภาพอย่างจัง แต่ติดกำแพงรั้วแล่นต่อไม่ได้ ปล่อยให้รถถัง T-59 หมายเลข 390 ผลิตโดยประเทศจีน แล่นชนรั้วประตูหน้าเข้ามา โดยมีพันเอก บุย กวาง ธาน (Colonel Bui Quang Than) ผู้บัญชาการรถถังวิ่งถือธงแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามเข้าไปปักบนหลังคาทำเนียบฯ และอีก 10 นาทีต่อมา พันโท บุย วัน ทัง (Lieutenant Colonel Bui Van Tung) นายทหารยศสูงสุดในช่วงเวลานั้นได้มาถึง และพบกับประธานาธิบดีเซือง วัน มินห์ (Duong Van Minh) ที่รออยู่ ทันใดนั้น ประธานาธิบดีมินห์ได้พูดขึ้นว่า “การปฏิวัติมาถึงแล้ว พวกคุณก็มาแล้ว ผมกำลังรอคุณอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะได้ส่งมอบอำนาจให้คุณ” แต่พันโททังโต้กลับไปว่า “ไม่มีคำถามเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจของคุณ อำนาจของคุณถูกทำลายไปนานแล้ว คุณไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่คุณไม่มีอีกต่อไปให้ผู้อื่นได้”1/ ถือเป็นการสิ้นสุดของสงครามที่น่าเศร้าใจ ทิ้งบาดแผลทั้งทางกายและใจไว้กับทุกคน โดยทหารอเมริกันเสียชีวิต 56,000 นาย เป็นการพ่ายแพ้สงครามครั้งแรกของสหรัฐฯ ในขณะที่ทหารเวียดนามเสียชีวิตเกินกว่า 1 ล้านคน
อย่างไรก็ดี ก่อนวินาทีที่กองกำลังทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงจะเข้ายึดกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ มีหลายเหตุการณ์ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การตัดสินใจปฏิบัติการเบบี้ลิฟท์ (Operation Babylift) เพื่อนำเด็กลูกครึ่งที่เกิดจากทหารอเมริกันแต่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งกว่า 3,000 คน ขึ้นเครื่องบินออกจากเวียดนาม หลายคนยังเป็นเด็กทารก ต้องถูกใส่กล่องและผูกติดกับที่นั่ง ปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2518 ด้วยการนำเด็ก 250 คน ขึ้นเครื่องบิน C-5A Galaxy ไปยังฐานทัพอากาศคลาร์ก (Clark) ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เพียง 12 นาที ประตูขนถ่ายสินค้าเกิดหลุดไปถูกหางเครื่อง ทำให้เครื่องตกกระแทกพื้นดิน ส่งผลให้เด็ก 75 คนและเจ้าหน้าที่ 35 คนเสียชีวิต ซึ่งแม้ปฏิบัติการจะดำเนินต่อไปจนสามารถลำเลียงเด็กออกมาได้ทั้งหมด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่น่าสลดใจกับผู้ที่พบเห็น2/
เหตุการณ์ที่สอง เกิดขึ้นตั้งแต่รุ่งสางของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อท่าอากาศยานนานาชาติของกรุงไซ่ง่อนถูกโจมตี จนเครื่องบินไม่สามารถขึ้นลงได้ ในขณะที่ฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกงเคลื่อนพลเข้ามาล้อมกรุงไซ่ง่อน ส่งผลให้สหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินการแผนอพยพฟรีเควียนท์วินด์ (Operation Frequent Wind) ด้วยการให้สถานีวิทยุอเมริกันเล่นเพลงไวท์คริสต์มาส เพื่อเป็นสัญญาณให้ชาวอเมริกันเดินทางไปยังจุดอพยพ และการอพยพทางเฮลิคอปเตอร์ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์โลก จึงเริ่มต้นขึ้น มีเฮลิคอปเตอร์ที่บินจากเรือรบมายังหลังคาสถานทูตอเมริกันกว่า 862 เที่ยว สามารถอพยพชาวอเมริกัน 978 คนและชาวเวียดนามอีก 1,120 คน โดยลำสุดท้ายบินในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เวลา 7.53 น. ก่อนกรุงไซ่ง่อนแตกเพียง 4 ชั่วโมง นำนาวิกโยธินจำนวน 11 นายที่คุ้มกันสถานทูตออกมา3/

เหตุการณ์ที่สาม เป็นเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับทราบ เกิดขึ้นในเมืองเกิ่นเทอ (Can Tho) ห่างจากเมืองไซ่ง่อนออกไป 100 ไมล์ เมื่อนายฟรานซิส แม็กนามารา (Francis McNamara) กงสุลใหญ่สหรัฐฯ
ปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศนำเฮลิคอปเตอร์มาอพยพชาวอเมริกันจำนวน 18 คน ออกจากเมืองดังกล่าว โดยแม็กนามาราทราบดีว่า หากเขาทิ้งคนเวียดนามและครอบครัวกว่า 300 คน ที่ทำงานให้กับสหรัฐฯ ไว้ข้างหลัง ชีวิตพวกเขาจะไม่ปลอดภัย จึงเป็นที่มาของการต่อรองขอแลกให้เฮลิคอปเตอร์ไปช่วยลำเลียงคนออกจากกรุงไซ่ง่อนกับเรือ 1 ลำ เพื่อเขาจะได้นำทั้งชาวอเมริกันและชาวเวียดนามทั้งหมดออกจากเมืองเกิ่นเทอ
แม็กนามารา อาศัยเคยเป็นกัปตันเดินเรือมาก่อน จึงทำหน้าที่นำเรือล่องตามลำน้ำโขง ช่วงแรกถูกเรือรบเวียดนามใต้สกัดไว้ ก่อนที่จะฝ่ากระสุนปืนจากทหารเวียดกงจนมาพบเรือรบสหรัฐฯ ตรงปากอ่าวทะเลจีนใต้ถือเป็น “เรือมนุษย์” (Boat People) ลำแรกที่นำผู้อพยพลี้ภัยหนีจากเวียดนามโดยทางเรือ ซึ่งต่อจากนั้นมีการอพยพต่อเนื่องมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยคาดการณ์ว่า มีผู้อพยพลี้ภัยทางเรือมากถึง 1.5 ล้านคน แต่กว่าร้อยละ 10 เสียชีวิตจากการจมน้ำ การขาดน้ำ ขาดอาหาร และการจี้ปล้นของโจรสลัด4/

เหตุการณ์การอพยพก่อนกรุงไซ่ง่อนแตก เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามที่ทิ้งไว้ด้วยความทรงจำที่ชอกช้ำ และขมขื่น พวกเราหลายคนอาจเกิดไม่ทันในช่วงดังกล่าว แต่สงครามเวียดนามได้เปลี่ยนแปลงสังคม วัฒนธรรม การเมือง และความเป็นอยู่ของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้
รณดล นุ่มนนท์
6 พฤษภาคม 2568
แหล่งที่มา :
1/ สิ้นสุดสงครามเวียดนาม ปี 2518 ไทยลดระดับสัมพันธ์ “สหรัฐ” ยักษ์ใหญ่โลก เขียนโดย ศูนย์ข้อมูลมติชน (MIC) วันพุธ ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568 https://www.silpa-mag.com/history/article_152125
2/ Operation Babylift, Wikipedia, https://en.wikipedia.org/wiki/Operation_Babylift
3/ Fall of Saigon, https://en.wikipedia.org/wiki/Fall_of_Saigon
4/ The Fall of Saigon (1975): The Bravery of American Diplomats and Refugees, Diplomat Evacuates Hundreds of Vietnamese Refugees in Cần Thơ, National Museum of American Diplomacy, April 29, 2021
https://diplomacy.state.gov/stories/fall-of-saigon-1975-american-diplomats-refugees/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา