
"...ศาลฎีกาคดี อม.อาจขอให้ศาลปกครองสูงสุดดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องและกฎกระทรวงที่เป็นปัญหานั้นว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และส่งความเห็นกลับมายังศาลฎีกาคดี อม.เพื่อมีคำสั่งตามความเห็นของศาลปกครองสูงสุดต่อไป อันถือว่าเป็นการพิจารณาที่มาจากศาลที่มีเขตอำนาจ..."
การไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือศาลฎีกา คดี อม.กรณีการบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร ที่กำหนดไว้ครั้งแรกในวันที่ 13 มิ.ย.2568 และอาจจะมีการไต่สวนต่อเนื่องไปอีกหลายครั้ง ซึ่งเมื่อได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว ศาลฎีกา คดี อม.จะใช้อำนาจได้เพียงเท่าที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ป.คดี อม.เท่านั้น
จึงอาจไม่มีอำนาจที่จะมีคำสั่งตามกระแสสังคม หรือตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการได้ คือ การมีคำสั่งให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้ที่เกี่ยวข้องนำตัวนายทักษิณกลับไปจำคุกตามคำพิพากษาเดิม ซึ่งกรณีนี้ได้มีการบังคับโทษจำคุกโดยครบถ้วนเสร็จสิ้นไปแล้วแต่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่ใช่กรณียังไม่มีการบังคับโทษหรือบังคับโทษไม่ครบถ้วน
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้บังคับโทษใหม่ได้ จึงจะต้องมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับโทษเดิมที่ไม่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าหากไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับโทษเดิม แต่มีคำสั่งให้บังคับโทษใหม่ขึ้นอีกจะเป็นการบังคับโทษที่ซ้ำซ้อน ซึ่งแม้ว่าศาลฎีกาคดี อม.จะไต่สวนได้ความว่าการบังคับโทษเดิมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าผู้กระทำไม่มีอำนาจหน้าที่ หรือกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน ไม่สุจริต เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบก็ตาม แต่ศาลฎีกาคดี อม.ก็ไม่อาจมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับโทษเดิมนั้นได้ เนื่องจากเป็นการกระทำของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ใช่คู่ความในคดี และไม่อาจจะเป็นคู่ความในคดีของศาลฎีกาคดี อม.ได้
โดยอำนาจเพิกถอนการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ และกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งผู้มีอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครอง ตาม พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 และมาตรา 72

แนวทางที่ศาลฎีกาคดี อม.จะแก้ไขปัญหาในกระบวนการยุติธรรมเรื่องนี้ที่เป็นประเด็นสาธารณะในขณะนี้ หลังจากที่มีคำสั่งยกคำร้องเรื่องนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง อาจใช้ 2 แนวทาง ในการขจัดข้อท้วงติงว่าอาจไม่มีอำนาจ เพื่อให้ได้รับอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายโดยชัดเจน คือ
แนวทางที่ 1 ศาลฎีกาคดี อม.ซึ่งเป็นศาลที่อยู่ในระบบศาลยุติธรรม อาจดำเนินการตาม พรบ.ว่าด้วยการชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 โดยส่งเรื่องไปยังศาลปกครองซึ่งศาลฎีกาคดี อม.เห็นว่าเป็นศาลที่มีอำนาจ แต่หากศาลปกครองไม่เห็นพ้องด้วยโดยเห็นว่าศาลของตนไม่มีอำนาจ ก็จะส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเรื่องเขตอำนาจระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร และศาลอื่น ๆ
โดยคณะกรรมการประกอบด้วย ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอื่น ๆ และผู้ทรงคุณวุฒิ อีกไม่เกิน 4 คน เป็นกรรมการ โดยมีเลขานุการศาลฎีกาเป็นเลขานุการ ซึ่งคณะกรรมการจะมีคำสั่งชี้ขาดว่าเรื่องนี้เป็นเขตอำนาจของศาลใด ซึ่งอาจจะชี้ขาดว่าเป็นเขตอำนาจของศาลปกครอง ก็จะทำให้ศาลปกครองทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาเรื่องนี้ หรืออาจชี้ขาดให้ศาลฎีกาคดี อม.ดำเนินการพิจารณาต่อไป เพื่อมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการกระทำของเรือนจำพิเศษและผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งเพิกถอนกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ได้
เนื่องจากแม้คณะกรรมการเห็นว่าการเพิกถอนการกระทำและการเพิกถอนกฎเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่เนื่องจากกรณีนี้มีปัญหาเรื่องการบังคับโทษตามคำพิพากษา ในคดีที่มีการพิจารณาพิพากษาโดยศาลฎีกาคดี อม.มาก่อน และศาลฎีกาคดี อม.ได้มีการไต่สวนเรื่องการบังคับโทษมาแล้ว ย่อมจะเป็นศาลที่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้อย่างครบถ้วน แม้ว่าการพิจารณาเพิกถอนการกระทำหรือเพิกถอนกฎกระทรวงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็นเขตอำนาจของศาลปกครองก็ตาม แต่คณะกรรมการอาจชี้ขาดให้ศาลฎีกาคดี อม.ดำเนินการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับโทษกรณีนี้ให้ได้ข้อยุติต่อไป ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเคยมีคำวินิจฉัยในทำนองนี้ในคดีอื่นมาแล้ว
การที่ศาลฎีกาคดี อม.รับเรื่องตามความปรากฏไว้ไต่สวนแล้ว แต่ได้ส่งเรื่องไปจนถึงคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเพื่อวินิจฉัยอีก ไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดกัน เนื่องจากเมื่อการไต่สวนเสร็จสิ้นแล้วศาลอาจเห็นได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีแรก เห็นว่าไม่มีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง ซึ่งทำให้เรื่องนี้จบลงในศาลฎีกาคดี อม. หรืออีกกรณีหนึ่ง เห็นว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือกฎกระทรวงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งต่อหน่วยงานหรือบุคคลที่ไม่ใช่คู่ความในคดี ซึ่งอาจจะไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลฎีกาคดี อม.ที่จะดำเนินการได้ตลอดทั้งกระบวนการ จึงดำเนินการเพื่อให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะดำเนินการต่อไปได้หรือไม่
โดยแนวทางนี้ แม้จะไม่มีการส่งเรื่องเพื่อให้ไปถึงคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดโดยศาลเอง ก็เชื่อว่าคู่ความฝ่ายจำเลยจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาคดี อม.ว่า หลังการไต่สวนเสร็จสิ้นแล้วศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนการกระทำของบุคคลหรือหน่วยงานที่ไม่ใช่คู่ความในคดีหรือมีประโยชน์ได้เสียโดยตรงในคดี หรือเพิกถอนกฎกระทรวง ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาคดี อม.แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง เมื่อมีการยื่นคำร้องเช่นนี้แล้วจะทำให้ศาลฎีกาคดี อม.ต้องรอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และส่งเรื่องไปยังศาลปกครองพร้อมความเห็นว่าเรื่องนี้ควรอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด เมื่อศาลปกครองได้รับแล้วก็จะต้องมีความเห็นของศาลปกครองเช่นกันว่าเรื่องนี้ควรอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด หากทั้งสองศาลเห็นตรงกันก็ให้ศาลที่ทั้งสองศาลเห็นตรงกันว่ามีอำนาจดำเนินการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งต่อไป
แต่หากทั้งสองศาลเห็นไม่ตรงกัน จะต้องส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล เพื่อมีมติชี้ขาดให้เป็นที่สุดว่าเรื่องนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลใด จึงจะทำให้ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยฝ่ายจำเลยจะต้องยื่นคำร้องก่อนถึงวันนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 ตาม พรบ.ว่าด้วยการชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมีข้อยุติ และอาจจะยังไม่มีการไต่สวน ในวันที่ 13 มิ.ย.2568 นี้ ก็ได้
แนวทางที่ 2 หากไม่มีการทักท้วงเรื่องเขตอำนาจศาล โดยศาลไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเองหรือไม่มีคำร้องจากจำเลย ศาลฎีกาคดี อม.อาจใช้อำนาจตาม พรป.คดี อม.มาตรา 6 วรรคสาม ในส่วนที่บัญญัติว่า ศาลฎีกาคดี อม.มีอำนาจขอให้ศาลอื่น ดำเนินการใดเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาได้
โดยศาลฎีกาคดี อม.อาจขอให้ศาลปกครองสูงสุดดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยการกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องและกฎกระทรวงที่เป็นปัญหานั้นว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และส่งความเห็นกลับมายังศาลฎีกาคดี อม.เพื่อมีคำสั่งตามความเห็นของศาลปกครองสูงสุดต่อไป อันถือว่าเป็นการพิจารณาที่มาจากศาลที่มีเขตอำนาจ
ทั้งสองแนวทางนี้เป็นเพียงความเห็นว่าอาจจะเกิดขึ้น ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งในแนวทางอื่นก็ได้ โดยเป็นดุลพินิจของศาลตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ซึ่งปัจจุบันเรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะที่ประชาชนเกือบทั้งประเทศติดตามกันอย่างใจจดใจจ่อว่าจะมีข้อยุติได้ด้วยองค์กรใด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา