นายกรัฐมนตรีเศรษฐาเปิดเผยว่าเขาได้โทรศัพท์หานายทักษิณหลังจากที่นายทักษิณถูกปล่อยตัว ซึ่งตัวของนายกรัฐมนตรีเศรษฐาก็มีความยินดีที่ได้รับคำแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจากคนใดก็ตาม อย่างไรก็ตาม “ผมยังเป็นผู้คุมเกมอยู่”
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ ซึ่งเป็นนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกาในห้วข้อการให้สัมภาษณ์ชื่อว่า "5 ประเด็นสำคัญ จากนิตยสารไทม์ กับการสนทนานายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน โดยนายชาร์ลี แคมป์เบล"
สำหรับการสัมภาษณ์ แบ่งประเด็นสัมภาษณ์ออกเป็น 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.การไม่เลือกข้างระหว่างรัสเซียและยูเครน 2. กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในประเทศไทย ณ เวลานี้ 3.นายกรัฐมนตรีเศรษฐาต้องการแก้ไขสงครามกลางเมืองในเมียนมา 4. (เศรษฐา ทวีสิน) เขายังเป็นหัวหน้าอยู่ สำหรับตอนนี้ 5.สีแดงเป็นสีที่ตายยาก
ต่อไปนี้คือ 5 ประเด็นสําคัญจากการสนทนาที่หลากหลายระหว่างนายกรัฐมนตรีเศรษฐาและนิตยสารไทม์ ดังกล่าว
1.การไม่เลือกข้างระหว่างรัสเซียและยูเครน
นายกรัฐมตรีเศรษฐาต้องการที่จะ “เป็นกลาง” เกี่ยวกับกรณีการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน และยังกล่าวปกป้องการตัดสินใจของตัวเองที่ได้เชื้อเชิญประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินมาเยือนประเทศไทย ซึ่งการเชื้อเชิญดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้นำของทั้งสองประเทศพบปะกันเมื่อเดือน ต.ค.ปีที่ผ่านมา
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ” นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวและกล่าวว่า “เราไม่สนับสนุนความรุนแรง เรายึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เราอยู่ข้างสันติภาพเพราะเราเชื่อว่าประชาคมระหว่างประเทศต้องแบ่งปันสันติภาพร่วมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
“สถานการณ์ในยูเครนได้เปลี่ยนโลกไปสู่การแบ่งขั้ว โดยกดดันให้หลายประเทศรวมถึงไทยต้องเลือกข้าง สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ในความพยายามของเราในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง ประเทศไทยเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการเสริมสร้างพหุภาคีนิยมและความร่วมมือระหว่างประเทศ มากกว่าการแบ่งแยกโลกออกจากกัน”
2.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในประเทศไทย ณ เวลานี้
นายกรัฐมนตรีเศรษฐาแสดงจุดยืนชัดเจนมากว่าต้องการปกป้องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีความรุนแรง หรือที่เรียกกันว่ามาตรา 112 ซึ่งมีโทษจําคุกสูงสุด 15 ปี ทําให้เป็นหนึ่งในกฎหมายที่มีโทษร้ายแรงที่สุดในโลก
โดยนับแต่เดือน พ.ย. 2563 มีประชาชนมากกว่า 200 คนถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยหรือแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงเด็กหญิงอายุ 14 ปีและอดีตข้าราชการอายุ 87 ปี
"กฎหมายทุกฉบับได้รับการเคารพและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันในประเทศไทย" นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวและกล่าวอีกว่า "เช่นเดียวกับมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาของไทยด้วย การพิจารณาความบริสุทธิ์หรือความผิดจะทําผ่านอำนาจตุลาการ ทุกคนมีสิทธิได้รับกระบวนการอันสมควร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควร และไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการได้"
รูปถ่ายนายเศรษฐาประกอบการสัมภาษณ์นิตยสารไทม์ ถ่ายเมื่อวันที่ 20 ก.พ.
3.นายกรัฐมนตรีเศรษฐาต้องการแก้ไขสงครามกลางเมืองในเมียนมา
นายกรัฐมนตรีเศรษฐาให้คํามั่นว่าจะเป็นแกนนำในความพยายามรักษาสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกของไทยอย่างเมียนมา หรือที่รู้จักกันในชื่อพม่าในอดีต ซึ่งประเทศนี้ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่นองเลือดนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวอีกว่าพรมแดนร่วมกันระหว่างไทยและเมียนมานั้นยาวถึง 2,416 กม. (1,501 ไมล์) ทําให้เมียนมาเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก และการทำให้เกิดสันติภาพจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั่วทั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนที่มีสมาชิก 10 ประเทศ
“อาเซียนเห็นพ้องต้องกันว่าไทยจะเป็นผู้นํา” นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวถึงกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพและกล่าวอีกว่า “ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะมีมติให้เมียนมาสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียว ในระหว่างนี้มีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากมายตามแนวชายแดนที่เราต้องดูแล”
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องมนุษยธรรม นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าวว่าสันติภาพนั้นดีต่อธุรกิจ “อาเซียนมีประชากร 650 ล้านคน ซึ่งประมาณ 10% เป็นชาวพม่า (ไม่ได้ระบุว่าแค่ชาติพันธุ์พม่า หรือหมายถึงประชาชนเมียนมาทั้งหมด) พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเป็นสมาชิกที่ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้ (ถ้าหากอยู่ในภาวะสงคราม) เรามาพูดถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้กันถ้าคุณมีเมียนมาที่สงบสุขและเป็นหนึ่งเดียว”
นายกรัฐมนตรีเศรษฐากับประธานาธิบดีปูติน (อ้างอิงรูปภาพจาก Thai Enquirer)
4.เขายังเป็นหัวหน้าอยู่ สำหรับตอนนี้
นายกรัฐมนตรีเศรษฐายืนยันว่าเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิมในวันที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทยกลับประเทศไทย หลังจากที่ต้องพาตัวเองลี้ภัยนานถึง 15 ปี
นายทักษิณนั้นถูกโค่นล้มจากตำแหน่งหลังการรัฐประหารปี 2549 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทุจริตและใช้อํานาจในทางที่ผิด—ถูกจับกุมที่สนามบิน แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกย้ายจากห้องขังไปยังห้องชุดโรงพยาบาลสุดหรู เมื่อวันที่ 18 ก.พ. และต่อมาอดีตนายกรัฐมนตรีในวัย 74 ปีก็ได้รับทัณฑ์บนพิเศษ
เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐาเป็นผู้ที่ประนีประนอมระหว่างทักษิณและสถาบันกองทัพไทย เนื่องจากมีการมองว่าพรรคก้าวไกลมีความเป็นภัยคุกคาม นายกรัฐมนตรีเศรษฐาเปิดเผยว่าเขาได้โทรศัพท์หานายทักษิณหลังจากที่นายทักษิณถูกปล่อยตัว ซึ่งตัวของนายกรัฐมนตรีเศรษฐาก็มีความยินดีที่ได้รับคำแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจากคนใดก็ตาม อย่างไรก็ตาม “ผมยังเป็นผู้คุมเกมอยู่” นายกรัฐมนตรีเศรษฐาย้ำถ้อยคำนี้
ถึงกระนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ตอนนี้ก็ขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว และยังเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นี่ทำให้ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองคาดเดาถึงการที่นายเศรษฐาจะออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีเศรษฐาทำท่ายักไหล่เมื่อพูดถึงผู้ที่ออกความเห็นเหล่านี้ และกล่าวว่า น.ส.แพทองธารนั้นเป็นหญิงที่มีความทะเยอทะยานและมีความสามารถมาก
“ผมมั่นใจว่าเธอจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในอีก 4 ปีข้างหน้า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของผม” นายกรัฐมนตรีเศรษฐากล่าว
5.สีแดงเป็นสีที่ตายยาก
ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมักจะติดป้ายสีแดงเข้ม และแม้นายเศรษฐาเพิ่งเข้าร่วมพรรคในปี 2565 แต่สีนี้ก็เป็นสีที่ใกล้เคียงกับหัวใจเขา เพราะเขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลซึ่งเล่นในชุดสีแดง โดยเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่กังวลกับการจากไปของเจอร์เก้น คล็อปป์ โค้ชชาวเยอรมันที่ประสบความสําเร็จอย่างมหาศาลในการคุมทีม
ผมคิดว่าเขาจากไปด้วยเหตุผลที่ดี เพราะเขาได้รับมากพอแล้ว" นายกรัฐมนตรีเศรษฐา กล่าว "ถ้าเขาอยู่ต่อ ผมก็ไม่คิดว่าเราจะได้ผลการแข่งขันแบบเดียวกัน”
******
ทั้งนี้ ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ นิตยสารไทม์ ยังระบุความเห็นของ นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองต่อกรณีเทย์เลอร์ สวิฟต์ และก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับประเทศสิงคโปร์ ที่สิ่งที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไทยไม่พอใจคือการสูญเสียโอกาส ดังนั้นเมื่อนายเศรษฐารู้ว่าสิงคโปร์สามารถผูกขาดสัญญากับนักร้องเจ้าของรางวัลแกรมมี่ 14 รางวัล และยังเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ซึ่งในสัญญานี้ห้ามเทย์เลอร์ สวิฟต์ไปแสดงคอนเสิร์ตในประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายกรัฐมนตรีเศรษฐามองว่านี่เป็นความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่ประเทศไทยควรจะเลียนแบบ
“สิงคโปร์ดำเนินการอย่างฉลาดมาก เป็นผมคงจะทำแบบเดียวกัน” นายเศรษฐาในวัย 62 ปีกล่าวกับนิตยสารไทม์ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อตะวันตกซึ่งมาสัมภาษณ์ในประเทศไทย
“โดยธรรมชาติแล้ว ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีหลายสิ่งที่จะนำเสนอ ไม่ใช่แค่การนำเทย์เลอร์ สวิฟต์มา แต่ว่ามีศิลปินอีกมากมายซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันเช่นเดียวกัน” นายเศรษฐากล่าว
ทั้งนี้ความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีเศรษฐาที่จะนำเทย์เลอร์ สวิฟต์มายังประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งในหลายประเด็นที่ได้มีการสัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์เมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนายเศรษฐาซึ่งเป็นอดีตนักธุรกิจรายใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นผู้นำประเทศที่มีประชากรกว่า 70 ล้านคน นับตั้งแต่เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมา โดยนับแต่ตอนนั้นเขาก็ได้พยายามฟื้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะงักงัน ด้วยการเดินทางไปยังต่างประเทศมากกว่า 10 ทริปแล้วเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งของนายเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ดูไม่ค่อยจะสบายนัก เพราะพรรคเพื่อไทยนั้นมาเป็นอันดับสองในการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค. และเขาก็ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาหลังจากที่สมาชิกวุฒิสภาซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลซึ่งมีจุดยืนต่อต้านกลุ่มผู้ทรงอำนาจในไทยขึ้นสู่อำนาจ