"...ผมและคุณหญิงได้ร่วมกันสร้างครอบครัวให้มั่นคง เลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนอย่างดีที่สุด โดยยึดหลักการเดียวกันกับที่คุณพ่อคุณแม่ของทั้งตนและคุณหญิง ทั้งนี้ คุณหญิงเองก็เข้าใจบริบททางสังคมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการให้ความสำคัญด้านการศึกษา ทำให้ลูกๆ ทุกคนเติบโตขึ้นด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามแนวทางของแต่ละคน..."
หมายเหตุ : ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ประกาศรายชื่อพ่อดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2566 รวม 35 คน ซึ่งทางคณะอนุกรรมาธิการด้านคุณธรรมจริยธรรม ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กำหนดจัดงาน “น้อมรำลึกพ่อหลวงไทย ร่วมใจเชิดชูวัฒนธรรม” โดยจัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่พ่อดีเด่นแห่งชาติ ที่อาคารรัฐสภา ในวัน 6 ธันวาคมนี้ เวลา 14.00 – 16.30 น. เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ได้สัมภาษณ์ ‘ พ่อดีเด่น’ ถึงวิธีการเลี้ยงดูแลลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ครอบครัวมีความสุข
นายไพฑูรย์ แก้วทอง
ทั้งนี้ ตัวแทนผู้ได้รับรางวัลพ่อดีเด่นประจำปี 2566 นายไพฑูรย์ แก้วทอง กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลพ่อดีเด่นในปี 2566 นี้ เพราะปีที่ผ่านๆ มา จะมีการมอบรางวัลให้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศ ส่วนผมไม่ได้มีบทบาททางการเมืองมานานแล้ว ตอนนี้มีลูกชาย “นายนราพัฒน์ แก้วทอง” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับการเสนอชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ในฐานะพ่อมักจะสอนลูกชายให้มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นตามโอกาสและความเหมาะสม
ผมมีลูกทั้งหมด 3 คน ต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แม้จะเป็นนักการเมืองแต่ก็แบ่งเวลาให้กับลูกๆ พร้อมให้การศึกษาที่ดีกับทุกคน เพราะเกิดมาจากการเป็นเด็กวัด เรียนหนังสือในโรงเรียนวัดมาตลอด แต่ก็ใช้ความมานะจนเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดังนั้น จึงอยากมอบการศึกษาที่ดีให้กับลูกๆ ซึ่งวันนี้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต “ส่วนการดูแลตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ ผมเป็นพ่อที่อีก 2 ปีก็อายุ 90 ปีแล้ว การจะอยู่กับลูกหลานได้นานๆ เราต้องดูแลตัวเองเริ่มจากการอาหารการกิน บริหารร่างกายทุกวันอย่างน้อย 30 นาที บริหารสุขภาพจิตให้ดี มองโลกในแง่ดีเสมอ และเจาะเลือดตรวจสุขภาพทุกๆ 3 เดือน เพื่อดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง จะได้ไม่เป็นภาระกับลูกๆ ที่ต่างก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำและดูแลชีวิตส่วนตัวของเขาเช่นกัน” นายไพฑูรย์ กล่าว
นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขอร่วมแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลพ่อดีเด่นแห่งชาติอีก 34 ท่านในโอกาสนี้ด้วย
“ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาระหว่างปี 2535 - 2539 ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่องค์กรหลักของชาติที่ผมมีความผูกพันนี้ได้มองเห็นคุณค่าและความตั้งใจในการเลี้ยงดูบุตรของผมให้เป็นคนดีของสังคม ทั้งนี้ผมต้องขอกล่าวถึงบุคคล สำคัญ 3 ท่านที่มีส่วนเป็นอย่างยิ่งใน การดำเนินชีวิตของผมตลอดมาจนถึงวันนี้ สองท่านแรกคือบิดามารดาที่ได้เลี้ยงดูผมมาอย่างอบอุ่นด้วยความรักและความเอาใจใส่ สนับสนุนให้ปฏิบัติตนอยู่ในความถูกต้องและดีงาม มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและขยันขันแข็งในการประกอบสัมมาอาชีพ รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อเรามีกำลังพอที่จะทำได้ สิ่งเหล่านี้นับเป็นแบบอย่างสำคัญที่ผมได้จดจำมาอบรมสั่งสอนลูกๆ ทั้ง 5 คน ตลอดมา
“อีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน คือคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ภรรยาของผมผู้เป็นทั้งคู่ชีวิต และเป็นแม่ของลูกๆ ทั้ง 5 คน ที่คอยเป็นกำลังใจที่สำคัญให้ผมตลอดระยะเวลากว่า 51 ปีที่ครองชีวิตคู่ร่วมเดินทางบนเส้นทางชีวิตกับผมมาโดยตลอด” นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวต่อว่า ผมและคุณหญิงได้ร่วมกันสร้างครอบครัวให้มั่นคง เลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนอย่างดีที่สุด โดยยึดหลักการเดียวกันกับที่คุณพ่อคุณแม่ของทั้งตนและคุณหญิง ทั้งนี้ คุณหญิงเองก็เข้าใจบริบททางสังคมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการให้ความสำคัญด้านการศึกษา ทำให้ลูกๆ ทุกคนเติบโตขึ้นด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามแนวทางของแต่ละคน ดังนั้น ตนขอกล่าวว่า “จะไม่มีทางได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เลย หากปราศจากซึ่งความร่วมแรงร่วมใจกันของบุคคลทุกท่านที่ผมกล่าวถึงนี้”
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ขอมอบรางวัลนี้ให้เป็น “รางวัลของครอบครัว” เพราะหากไม่มีครอบครัวตนก็คงไม่ได้รับรางวัลนี้
สำหรับเคล็ดลับการดูแลกันในครอบครัว จะเน้นสอนลูกอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.สอนลูกให้เป็นคนดี ผ่านการสอนและการกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกและ 2.สอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมมักจะสอนลูกว่า ไม่จำเป็นต้องชนะหรือเก่งกว่าใคร เพียงแต่สอนให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่มีแรงกดดันจากครอบครัว เรื่องความสุขเป็นนามธรรมที่ไม่มีมาตรวัดเช่นเดียวกับเรื่องการเป็นคนดี
ดังนั้นต้องอาศัยการปลูกฝังที่ต้องใช้เวลา ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ให้เขารู้จักและแยกแยะสิ่งที่ดีและไม่ดีให้ได้ สอนให้รู้จักหิริโอตัปปะ
“มาตรวัดความดีและความสุข เป็นเรื่องที่เขียนออกมาไม่ได้ แต่เป็นวิธีการดำรงชีวิตของเรา โดยที่ครอบครัวจะไม่สอนให้เขาต้องเป็นที่หนึ่ง หรือเอาชนะให้ได้ แต่ขอให้เป็นคนดี เรียนหนังสือดี มีจิตสำนึกที่ดี” นายวิทัย กล่าว